จากที่วันนี้ 10 ธันวาคม 2564 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างหลบหนีคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ได้ออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ถึง 10 ธันวาคม เป็นวันรัฐธรรมนูญนั้น
ทั้งนี้อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า “พวกเราคนไทยไม่สามารถพูดถึงรัฐธรรมนูญได้อย่างภาคภูมิ เพราะ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีที่มาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช. จำกัดและลิดรอนสิทธิของประชาชน ยากต่อการนำประเทศกลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้
ดังนั้น จุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศที่ดีที่สุด คือ การทำกติกาให้เป็นสากล เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เริ่มจากการรับฟังเสียงของทุกภาคส่วน เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างกติกาสูงสุดร่วมกัน ซึ่งดิฉันยังเฝ้ารอจะได้เห็น รธน.ที่มาจากความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง”
ขณะที่วันเดียวกันนี้ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เผยถึง โครงการรับจำนำข้าวด้วยว่า แม้จะยุติลงหลายปีแล้ว แต่ภาระงบประมาณยังคงมีต่อ ซึ่งทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รายงานว่า ในปีงบประมาณ 2565 สำนักงบประมาณได้ตั้งงบชำระหนี้ให้ ธ.ก.ส. จำนวน 6.9 หมื่นล้านบาท น้อยกว่าปีก่อนหน้า โดยปัจจุบันรัฐบาลยังมีภาระหนี้จากโครงการดังกล่าวที่ต้องชำระคืนให้กับธ.ก.ส. จำนวน 1 แสนล้านบาท คาดว่าสำนักงบประมาณจะมีการตั้งงบประมาณเพื่อจ่ายหนี้ ปีละ 10-20% ของงบประมาณรายจ่าย ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3-5 ปีจึงจะชำระหนี้หมด
“องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้เตรียมปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว ซึ่งยังมีข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลที่ได้จากการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี และข้าวเปลือกนาปรัง ของรัฐบาลที่ผ่านๆมา ที่รอการระบายอีกประมาณ 220,000 ตัน ทั้งหมดเป็นข้าวเสื่อมคุณภาพ ต้องขายเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมเท่านั้น คนและสัตว์บริโภคไม่ได้
โดย อคส. ตั้งเป้าหมายระบายให้หมดภายในเดือน กันยา 65 เมื่อเปิดให้มีการระบายจนหมดแล้ว จะทำให้สามารถปิดบัญชีโครงการรับจำนำได้ แล้วถึงจะทราบว่ามีผลขาดทุนเท่าไร โดยเบื้องต้น ประมาณ 5 แสนล้านบาท จากการทุจริตในโครงการจำนำข้าว ปีการผลิต 2554-57 ซึ่งได้มีการส่งฟ้องร้องดำเนินคดีไปแล้ว รวม 1,143 คดี และผลขาดทุนดังกล่าวยังไม่รวมผลขาดทุนจากการที่ต้องขายข้าวในราคาต่ำในการประมูลข้าวสารในสต๊อกในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากข้าวยิ่งเก่า ยิ่งขายได้ราคาต่ำ รวมทั้งยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่รัฐต้องจ่าย เช่น ค่าเช่าคลังสินค้าเพื่อฝากเก็บข้าวสารในสต๊อก เป็นต้น
นอกจากนี้ นางสาวรัชดา ยังกล่าวอีกว่า สำหรับโครงการประกันรายได้ ที่รัฐบาลจ่ายเฉพาะเงินส่วนต่างระหว่างราคาประกันและราคาตลาด โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง โดยไม่มีภาระเรื่องการเก็บสต๊อกเพราะเกษตรกรเป็นผู้เก็บเพื่อจำหน่ายเอง ขณะนี้อยู่ในช่วงการจ่ายเงินสวนต่างฯ งวดที่3-7 (9-14 ธ.ค.) ส่วนงวด ที่เหลือ คือ 8-33 จะทยอยจ่ายในลำดับต่อไป ซึ่งจะมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ได้รับประโยชน์โดยตรงทันทีกว่า 4.7 ล้านครัวเรือน