พยาบาลแคลิฟอร์เนียป่วย?!? หลังฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-สหรัฐฯ ทำไข้สูง 40 องศาเซลเซียส

2679

เกิดผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนต้านโควิด ของบริษัทไฟเซอร์-สหรัฐฯ พยาบาลที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นกลุ่มทดลองวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ฯระยะ 3 เปิดเผยหลังจากทดลองฉีดวัคซีนครั้งที่2 ว่าเกิดอาการป่วย ปวดศีรษะ หนาวสั่น อาเจียนและ มีไข้สูง 104.9 ฟาเรนไฮต์(ประมาณ 40 องศาเซลเซียส) ขณะที่สหราชอาณาจักรเริ่มฉีดวัคซีน ได้เตือนคนที่มีอาการภูมิแพ้ห้ามฉีด เพราะอันตรายอาจมีผลข้างเคียงรุนแรง

คริสเตน ชอย พยาบาลแคลิฟอร์เนียได้เข้าร่วมการทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ ระยะที่ 2 ให้สัมภาษณ์ ในรายงานบิลล์ เฮมเมอร์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 ธ.ค.2563 กล่าวว่า อาการหลังรับวัคซีนคล้ายติดโควิด-19  ตื่นขึ้นมาหลังฉีดวัคซีนครั้งที่ 2 พบว่ามีไข้สูง 104.9 ฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 40 องศาเซลเซียส)

“เพราะว่าฉันเกิดผลข้างเคียงรุนแรงหลังฉีดครั้งที่ 2 ทำให้ฉันสงสัยว่าเป็นผลจากการฉีดวัคซีนแน่นอน”

ขอยกล่าวกับบิลล์ แฮมเมอร์ที่ปรึกษาองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา Food and Drug Administration (FDA) เพื่อรีบรายงานผลแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว

“หลังฉีดครั้งแรก มันรู้สึกเหมือนการรับวัคซีนทั่วไป มีไข้เล็กน้อยและอื่นๆ” “ฉันเจ็บคอเล็กน้อย ไม่มากกว่านั้น” “การฉีดครั้งที่ 2 ต่างกัน” “ตอนฉันกลับบ้านหลังจากศึกษาเสร็จแล้ว 2-3 ชั่วโมงต่อมา ฉันเริ่มหนาวสั่น ปวดศีรษะ มีอาเจียน  และเริ่มแย่ลง หนักขึ้นหนักขึ้นตลอดคืน ตื่นกลางดึกพบมีไข้”

“อยู่ในสภาวะอย่างนั้นจนเช้า ด้วยไข้ขึ้นถึง 104.9 ฟาเรนไฮต์ ฉันกินไทลินอลลดไข้ ดื่มน้ำโชคดีไข้ลดลงหน่อย และผลข้างเคียงเบาลงช่วงเย็นวันนั้น”

อาการหลังฉีดวัคซีน เหมือนกับอาการคนติดเชื้อโควิด-19 ผลข้างเคียงจากการรับวัคซีนเป็นสัญญาณบอกเราว่า ภูมิคุ้มกันของเรากำลังต่อสู้กับไวรัส เธอกล่าวว่าถ้าจะฉีดวัคซีนต้องเจออาการข้างเคียง “ฉันภูมิใจมากที่ได้มีส่วนร่วม และถ้ามีโอกาสอีกก็จะเข้าร่วมทดสอบอีกแน่นอน” ชอยกล่าว

คนเป็นภูมิแพ้ฉีดไม่ได้

สหราชอาณาจักรพบว่า วัคซีนโควิดของไฟเซอร์ก่อผลข้างเคียงคนเป็นโรคภูมิแพ้รุนแรง สหรัฐฯ จ่อเตือนหากอนุมัติใช้ เรื่องนี้มีการเปิดเผยของนักวิทยาศาสตร์ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังสหราชอาณาจักรได้ออกคำเตือนแบบเดียวกัน หลังพบเจ้าหน้าที่สาธารณาสุข 2 คน มีอาการแพ้ต่างๆ นานาและจำเป็นต้องได้รับการรักษา

ทั้งสหราชอาณาจักร และแคนาดา ได้อนุมัติใช้วัคซีนตัวดังกล่าวซึ่งใช้ในปริมาณ 2 โดส บนพื้นฐานในกรณีฉุกเฉินเป็นเรียบร้อยแล้ว และคาดหมายว่าสหรัฐฯ จะดำเนินการอย่างเดียวกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากคณะที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยามีกำหนดประชุมกันในประเด็นดังกล่าวในวันพฤหัสบดี (10 ธ.ค.)

มอนเซฟ ซาลาอุย หัวหน้าที่ปรึกษาโครงการวัคซีนโควิดของสหรัฐฯ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า “กำลังตรวจสอบข้อมูล คนไข้หรือบุคคลที่มีประวัติอาการแพ้รุนแรงจะถูกกันออกจากการทดลองทางคลินิก”

ไฟเซอร์ชี้ว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพมากกว่า 90%

ผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาร่วมกันโดยบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ และ ไบโอเอ็นเท็ค ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี พบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพมากกว่า 90% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน หลังจากใช้เวลาในการทดลองกับอาสาสมัครกว่า 1 หมื่นคน ซึ่งนับเป็นความคืบหน้าในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

การวิจัยเพิ่มเติมในกลุ่มอาสาสมัคร 44,000 คนในช่วงเวลา 2 เดือน(พ.ย.-ธ.ค.2563) หากพบว่าวัคซีนมีความปลอดภัย ไฟเซอร์จะขอทางการสหรัฐฯอนุมัติใช้วัคซีนฉุกเฉินให้แก่ประชาชนอายุระหว่าง 16 – 85 ปี เพื่อเร่งควบคุมการระบาดของโรค

ไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคทำสัญญามูลค่า 1.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อผลิตวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดส โดยจะเริ่มในปีนี้ รวมทั้งจะต้องผลิตวัคซีนให้แก่สหภาพยุโรป อังกฤษ แคนาดา และญี่ปุ่นด้วย ซึ่งเพื่อเป็นการประหยัดเวลา ทางบริษัทได้เริ่มผลิตวัคซีนนี้ล่วงหน้าไว้แล้ว ก่อนที่จะรู้ว่าวัคซีนได้ผลเต็ม 100% เพื่อให้ทันการใช้งานฉุกเฉิน ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ถึง 50 ล้านโดส เพียงพอสำหรับประชากรราว 25 ล้านคนในปีนี้ และจะผลิตได้อีก 1.3 พันล้านโดสภายในปี 2564

สหรัฐสูญเสียอันดับ1ของโลก

สหรัฐอเมริกาทำลายสถิติยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ภายในวันเดียว ทะลุ 3,000 ราย ในวันที่ 10 ธ.ค.2563  นับเป็นจำนวนที่มากที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาภายในวันเดียว อยู่ที่ 3,054 ศพ นับเป็นจำนวนที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำลายสถิติของทุกประเทศ นับตั้งแต่เริ่มพบการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ เคยมีผู้เสียชีวิตสูงสุดถึง 2,769 ศพใน 24 ชั่วโมง

ล่าสุด โรงพยาบาลหลายแห่งในหลายรัฐไม่มีเตียงพอที่จะรองรับคนไข้ได้มากกว่านี้แล้ว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เตือนว่า สถานการณ์อาจจะยังเลวร้ายลงอีกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หากประชาชนยังคงเพิกเฉยต่อคำเตือน ที่ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยไม่จำเป็น รวมทั้งงดรวมตัวทำกิจกรรมต่างๆ กับกลุ่มคนจำนวนมาก ซึ่งในช่วงเทศกาลสำคัญทั้งวันขอบคุณพระเจ้า วันคริสต์มาสและวันปีใหม่เป็นช่วงเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการระบาดมากขึ้นได้