ยุโรปคลั่งประท้วงเดือด??7 ประเทศต้านบังคับฉีดวัคซีน ปะทะตำรวจใช้กระสุนจริง

1220

เกิดอะไรขึ้นกับยุโรป หลังจากองค์กรอนามัยโลกเตือนยุโรปจะกลายเป็นศูนย์กลางระบาดใหญ่โควิด-19 สายพันธ์ใหม่ไม่นาน และหลายประเทศเริ่มปลดล็อกดาวน์ผลที่ตามมาคือประชาชนติดโควิดกันกระฉูดแม้ฉีดวัคซีนในอัตราที่สูงแล้วก็ตาม แต่กระแสต้านมาตรการบังคับฉีดวัคซีนของรัฐบาล ก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เบลเยียมเป็นชาติล่าสุดเกิดประท้วงรุนแรงเผาสถานที่มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่นเดียวกับเนเธอร์แลนด์และออสเตรีย ฝรั่งเศสและโครเอเชีย ซึ่งคาดว่าจะลุกลามหลายประเทศมากกว่านี้ ขณะที่กำลังรายงานข่าวอยู่นี้ทุกแห่งยังคงวุ่นวายไม่เลิกรา ตรงกันข้ามกันสหรัฐที่กระแสต้านลดลงเพราะศาลตัดสินให้ยกเลิกคำสั่งบังคับฉีดวัคซีนและปธน.โจ ไบเดนยอมถอย

เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การประท้วงวุ่นวายในเบลเยียมส่อเค้าลุกลามบานปลาย ตำรวจเบลเยียมและผู้ชุมนุมปะทะกันบนท้องถนนของกรุงบรัสเซลส์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21พ.ย.ที่ผ่านมา  มีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมในเมืองหลวงของเบลเยียมราว 35,000 คน ซึ่งเริ่มต้นด้วยความสงบก่อนเลี้ยวเข้าสู่ความรุนแรง กลุ่มผู้ประท้วงสวมเสื้อฮู้ดสีดำขว้างปาก้อนหินเข้าใส่ตำรวจ ตอบโต้ที่โดนเจ้าหน้าที่ฉีดน้ำรุกคืบเข้าหา บริเวณด้านหน้าของสำนักงานใหญ่คณะกรรมาธิการยุโรป ต่าง ตะโกนว่า “เสรีภาพ” สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่ากลุ่มผู้ประท้วงยังได้ขว้างปาระเบิดควันและพลุไฟ แต่สถานการณ์สงบลงในเวลาต่อมา

ทางการเบลเยียมยกระดับความเข้มข้นข้อจำกัดสกัดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อวันพุธ(17พ.ย.) บังคับสวมหน้ากากอย่างกว้างขวางและให้ทำงานจากที่บ้าน ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ประเทศแห่งนี้เผชิญกับการแพร่ระบาดระลอก 4

นับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้น เบลเยียมชาติที่มีประชากร 11.7 ล้านคน มีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วมากกว่า 1,581,500 รายและเสียชีวิต 26,568 คน ปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง มีรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่เฉลี่ยแล้วราวๆ 13,826 คนต่อวัน

ในช่วงเวลาเดียวกัน เกิดการประท้วงหลายพันคนรวมตัวกันในกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย หลังรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบใหม่และมีแผนบังคับฉีดวัคซีนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ถือเป็นชาติแรกของยุโรปที่กำหนดให้การฉีดวัคซีนเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย

เยาวชนออสเตรีย ถึงขั้นก่อจลาจลเผารถและเกิดการปะทะกับตำรวจ 2 คืนติด มีผู้ประท้วงโดนยิงบาดเจ็บ 3 ราย 

กรุงเวียนนามีตัวเลขการฉีดวัคซีนต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในยุโรปตะวันออก ส่วนโรงพยาบาลต้องเผชิญกับปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล ล่าสุด ออสเตรียมีผู้ป่วยโควิด-19 สะสมกว่า 1 ล้านราย และเสียชีวิตทะลุ 11,000 ศพ

สถานการณ์ความรุนแรงระหว่างการประท้วงต่อต้านข้อจำกัดสกัดโควิด-19 ยังได้ปะทุขึ้นในเนเธอร์แลนด์ ชาติเพื่อนบ้านของเบลเยียมตั้งแต่ในศุกร์ที่ 19พ.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจในร็อตเตอร์ดัม ถึงขั้นยิงเข้าใส่ฝูงชน ยิ่งทำใหิเกิดความรุนแรงต่อเนื่อง 2 คืนโดยการประท้วงขยายวงไปในหลายเมืองตั้งแต่ ร็อตเตอร์ดาม เฮก โกรนิงเกน แอนสเคอเด และเลวาเดิน 

ที่อิตาลี ชุมนุมประท้วงต่อต้านการตรวจ“กรีนพาส”หรือวัคซีนพาสปอร์ตก่อนเข้าพื้นที่สาธารณะ 

ที่สวิตเซอร์แลนด์ ผู้ประท้วงชี้เป็นมาตรการเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นธรรม

ในโครเอเชีย ประชาชนหลายพันคนเดินขบวนในกรุงซาเกรบ แสดงความขุ่นเคืองต่อมาตรการบังคับฉีดวัคซีนพนักงานภาครัฐ ส่วนในอิตาลี ผู้ประท้วงไม่กี่พันคนรวมตัวกันบริเวณกีร์กุสมักซิมุสในกรุงโรม เพื่อคัดค้านการบังคับใช้บัตรผ่านวัคซีน “กรีนพาส” ตามที่ทำงาน สถานที่ชุมนุมชนและบนระบบขนส่งสาธารณะ

เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสต้องส่งตำรวจเพิ่มเติมอีกหลายสิบนายเข้าไปรักษาความสงบที่เกาะกัวเดอลุปในแคริบเบียน แคว้นโพ้นทะเลของฝรั่งเศส หลังพวกก่อจลาจลลงมือปล้นสะดมร้านค้าหลายสิบแห่งและจุดไฟเผาย่านธุรกิจ ตามหลังการประท้วงต่อต้าน “บัตรรับรองสุขภาพ” หรือ “บัตรผ่านโควิด-19” เลี้ยวเข้าสู่ความรุนแรง

เจอราลด์ ดาร์มาแนง รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศส ระบุว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ความไม่สงบ  บางส่วนใช้กระสุนจริงกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และสัญญาว่าจะตอบโต้อย่างหนักหน่วงกับพวกที่ก่อความวุ่นวายแก่ประชาชน

ดร.ฮานส์ คลุ้ก ผู้อำนวยการภูมิภาคยุโรปขององค์การอนามัยโลก(WHO) เตือนว่า มีนาคม 2565 ยุโรปอาจเสียชีวิตจากโควิดระลอกใหม่ถึง 5 แสนคน