จับโป๊ะ! “ปิยบุตร” โกหก พูดความจริงครึ่งเดียว ขู่สงครามกลางเมือง ปลุกระดม 3 นิ้ว ให้ออกมาติดคุกฟรี!?

1604

หลังจากที่ผ่านพ้นกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำของ นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” และนางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” ที่ชุมนุมปราศรัยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งมีการเสนอข้อเรียกร้อง 10 ข้อในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเครือข่าย เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งให้เลิกการกระทำ

ก่อนหน้านี้ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้เคลื่อนไหวถึงประเด็นสงครามกลางเมือง ว่าการเปลี่ยนแปลง ของระบอบการปกครองในประเทศไทย จะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่ที่การตัดสินของศาลฯ อาจารย์สถิต ไพเราะ อดีตรองประธานศาลฎีกาเคยเขียนเรื่องเล่าชื่อว่า “ปากกาอยู่ที่มัน” เพื่อชี้ให้เห็นว่าผลแห่งคดีต่างๆขึ้นกับการขีดเขียนของผู้พิพากษา Roger Brooke Taney ประธานศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา เขียนคำพิพากษาจนพาประเทศสหรัฐอเมริกาไปสู่สงครามกลางเมือง

ล่าสุดในเฟซบุ๊กของ เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ ได้โพสต์ข้อความที่ระบุถึงพฤติกรรม นายปิยบุตร ว่าพูดความจริงครึ่งเดียว เอาเรื่องสงครามกลางเมืองมาปลุกระดม 3 นิ้ว แบบโยงมั่วไปหมด โดยมีรายละเอียดดังนี้ว่า “อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล กับการพูดความจริงครึ่งเดียว

อาจารย์ปิยบุตรและเพจประวัติศาสตร์บางเพจที่มีจุดหมายแฝง ใช้ความจริงครึ่งเดียวมาปลุกเร้าทางการเมือง โดยโยงปมขัดแย้งสงครามกลางเมืองอเมริกากับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

มีการใช้ความจริงครึ่งเดียว โยงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญของไทยกับการตัดสินคดีทาสผิวดำชื่อ เดร็ด สก็อตต์ (Dred Scott) ซึ่งเป็นทาสของจอห์น อีเมอร์สัน ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นอิสระ เพราะเดร็ดเคยอาศัยในรัฐทางตอนเหนือที่ไม่ใช่รัฐทาส ศาลตัดสินให้เดร็ดคงความเป็นทาสต่อไป นักวิชาการและบางเพจโยงประเด็นนี้ เข้ากับสถานการณ์การเมืองไทยเพื่อปลุกเร้าให้เกิดความขัดเคืองต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยโยงว่าคำตัดสินของศาลอาจจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในอเมริกา”

ข้อเท็จจริงคือ

ช่วงที่อเมริกายังไม่เป็นประเทศ แต่เป็นเพียง 13 อาณานิคม พ่อค้านำคนผิวดำจากแอฟริกามาใช้แรงงานในไร่ยาสูบที่อาณานิคมจอร์เจีย 13 รัฐแรก เติบโตมาจากสิบสามอาณานิคม แบ่งเป็นรัฐเสรีจำนวน 5 รัฐ และรัฐที่อนุญาตให้ค้าทาสได้มี 8 รัฐ ซึ่ง 8 รัฐที่มีการค้าทาสนี้เรียกว่ารัฐทาส หลังจากนั้นทั้ง 13 รัฐขยายขอบเขตออกไป จนมีทั้งหมด 34 รัฐในเวลานั้น แบ่งเป็นรัฐเสรี 19 รัฐ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศและรัฐทาส 15 รัฐ ทางตอนใต้ ในสมัยของประธานาธิบดีเจมส์ บูแคนันมีรัฐเกิดใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 รัฐ คือมินเนโซต้า โอเรกอนและแคนซัส ซึ่งทั้งสามรัฐเข้าร่วมกลุ่มรัฐเสรี ทำให้สัดส่วนระหว่างรัฐเสรีและรัฐค้าทาสเป็น 19 ต่อ 15 โดยรัฐเสรี 19 รัฐ และรัฐค้าทาส 15 รัฐ

มีการอ้างว่าจุดแตกหักที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองอเมริกา มาจากเรื่องทาสเพียงประเด็นเดียว ทั้งที่เรื่องทาสและคดีของเดร็ด สก็อตต์เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยประกอบกัน คือปมขัดแย้งเรื่องทาส ปมขัดแย้งเรื่องดินแดนตะวันตก ปมขัดแย้งด้านแนวคิด ปมขัดแย้งทางเศรษฐกิจ และปมขัดแย้งทางการเมือง ทั้งหมดส่งผลให้เกิดสงครามกลางเมือง ไม่ใช่เพียงแต่ผลการตัดสินในกรณีทาสผิวดำเดร็ด สก็อตต์

สงครามกลางเมืองไม่ได้มีสาเหตุมาจากการที่ศาลตัดสินคดีทาสผิวดำรายนั้นเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ทำให้เกิดสงคราม โดยจุดแตกหักคือการแยกตัวของรัฐทางใต้ที่ไม่ยอมขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง อย่าใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงครึ่งเดียว มาโยงกับเหตุการณ์บางอย่างในไทยเพื่อปลุกเร้า เพราะคนละบริบท..คนละสังคม..และคนละช่วงเวลา

อย่างไรก็ตามได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยว่า นักวิชาการอย่างปิยบุตรถือได้ว่าเป็นอันตรายต่อผู้อ่านผู้ฟังมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมัวเมาผู้เสพย์โดยเจตนาด้วยอคติส่วนตัวโดยฉาบเคลือบยาพิษลงบนข้อเท็จจริง , เป้าหมายของเขาคือ “สงครามกลางเมือง” จึงโยงทุกเรื่องเพื่อยั่วยุ อย่างการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็บอกว่าอาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง ทั้งที่ศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริง ดีที่มีคนรู้ทันเยอะเพราะความกลวง ๆ ของมัน คงนึกว่าคนไทยโง่ ไทยไม่มีวันเกิดสงครามกลางเมืองอย่างที่มันหวัง เพราะเรามีสิ่งยึดเหนี่ยวที่มั่นคงแม้พวกมันจะพยายามทลายสิ่งยึดเหนี่ยวนั้น

ทั้งนี้การโพสต์เรื่องสงครามกลางเมือง อาจจะมีเจตนาเพื่อปลุกกลุ่ม 3 นิ้วออกมาสู้ แต่ถ้าหากกลุ่มม็อบเชื่อข้อมูลที่บิดเบือน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะออกมากระทำความผิด และติดคุกตามรอยแกนนำไปในที่สุด