หลังจากที่นายปิยบุตร เเสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า มาดีเบตกันในประเด็น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ผ่านทางช่อง Youtube Jomquan โดยมีน.ส.จอมขวัญ หลาวเพชร์ พิธีกรข่าวชื่อดัง เป็นผู้ดำเนินรายการ
และได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า นายปิยบุตร มีท่าทีที่เรียบร้อย และถูกตอกกลับเหมือนกับไม่สามารถโต้เถียงทางด้านของ นายอรรถวิชช์ ได้เลย หลาย ๆ คนจึงได้เทคะแนนให้ทางด้านของ นายอรรถวิชช์ ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ไป
และต่อมาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.64 ทางด้านของนายปิยบุตร ก็ได้เคลื่อนไหวโดยทำการโพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยได้ทำการชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่า มีคนวิจารณ์ว่า ทำไมผมไปดีเบตกับนายอรรถวิชช์ ในรายการ น.ส.จอมขวัญ ด้วยท่าทีสุภาพเรียบร้อย ไม่สะใจกองเชียร์ เหตุผลดีกว่าแต่โต้วาทีสู้ไม่ได้? ทั้งหมดผมจงใจให้เป็นแบบนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการ
1. ผมต้องการพูดให้คนที่ไม่รักไม่เชียร์ผม หรือคนที่ไม่ได้ติดตามผม ได้ฟังผม แม้ผมอธิบายเรื่องพวกนี้ในพื้นที่ของผมได้บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่เคยฟัง ต่อต้าน แต่อย่างน้อยพอรายการนี้มีฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยมมาพูดด้วย อย่างน้อย เขาก็ต้องได้ฟังผมบ้าง
2. การสื่อสารกับคนเหล่านี้ ต้องใช้ท่าทีอีกแบบ เราไม่สามารถใช้ท่าทีดุดันได้เลย ผมจึงปล่อยให้นายอรรถวิชช์ทำตน ยกตนข่มท่าน เพื่อให้คนที่มีเหตุผลพอควรเห็นว่า คนที่พวกคุณคิดว่าล้มเจ้าแบบผม พร้อมจะพูดคุยหาทางออกด้วยการปฏิรูปสถาบันฯ 3.ผมมาดีเบตกับคนเหล่านี้ ไม่เคยคิดว่า จะต้องมาเอาชนะโต้วาที ให้คนกดปุ่มเชียร์โหวตให้ ถ้าผมต้องการแบบนั้น ผมก็พอทราบอยู่ว่า เทคนิคการโต้วาทีเพื่อเอาชนะต้องทำอย่างไร
แต่ผมต้องการแสดงให้เห็นว่าการคุยเรื่อง 112 และสถาบันฯ สามารถทำได้ในสื่อสาธารณะ โดยไม่ต้อง วงแตก หวังว่าอย่างน้อย การดีเบตในรายการนี้จะช่วยเปลี่ยนใจคนที่ไม่เห็นด้วยได้ฉุกคิด หรือฟังเหตุผลของเรา ในท้ายที่สุดอาจไม่สำเร็จ แต่ถ้าบังเอิญเปลี่ยนใจคนได้ แม้ไม่กี่คน ก็คุ้มค่ากว่าการที่ผมโต้วาทีใช้โวหารชนะนายอรรถวิชช์ หากผมประเมินผิดทั้งหมด ก็ต้องยอมรับและวางแผนสื่อสารใหม่ครับ จนทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลตามมาอีกว่า นายปิยบุตร ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ยิ่งสู้เหมือนยิ่งแพ้ หากทางฝั่งก้าวหน้ายังปล่อยให้นายปิยบุตร ออกมาตอบโต้เรื่อง 112 อยู่แบบนี้ คงมีแต่พังแน่นอน
ล่าสุดในเฟซบุ๊กของนายปิยบุตร ได้เขียนข้อความ ร่ายยาว กรณีจากรัฐประหาร 8 พ.ย. 2490 ถึงรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 พร้อมระบุว่า ความพยายามในการสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง ที่มีกองทัพ ระบบราชการ และทุนผูกขาด ค้ำจุน ปลุกประชาชนชาวสยามผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ผู้เป็น “เจ้าของ” ประเทศนี้ แผ่นดินนี้ร่วมกัน คือ ผู้ตัดสินทำให้ความพยายามครั้งนี้มิใช่ความพยายามครั้งใหม่ มิใช่ความสำเร็จอีกครั้งแต่เป็นความพยายามครั้งสุดท้าย และเป็นความล้มเหลวไปตลอดกาล
และยังได้มีข้อความในทำนองปลุกระดม ท่อนหนึ่งด้วยว่า เยาวชนคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันมีความคิดจิตสำนึกในทางประชาธิปไตย พวกเขาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยตามแบบระบอบ constitutional monarchy พลังและขบวนของพวกเขานี้เองเป็นปัจจัยสำคัญที่จะยันและต่อต้านไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงแบบถาวร