ย้อนพฤติกรรม“โรม”ฟ้องสิระ-พท.50ล้าน พอโดนฟ้องบ้างอ้างทำหน้าที่ฝ่ายค้าน

1540

จากที่ รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ออกมากล่าวบริษัท กัลฟ์ฯ ฟ้องดำเนินคดีตนและพรรคก้าวไกลข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทนั้น

ทั้งนี้นายรังสิมันต์ การแถลงบางช่วงว่า สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีดาวเทียมไทยคม ที่ได้อภิปรายต่อนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา

“ผมขอเรียนว่าสิ่งที่ผมและพรรคก้าวไกลพยายามทำในบทบาทหน้าที่ของฝ่ายค้านก็คือการตรวจสอบรัฐบาล โดยส่วนตัวผมเมื่อถูกฟ้องมาก็จะต่อสู้คดีต่อไป ทว่าเมื่อมองถึงประโยชน์ต่อสาธารณะแล้ว หากมีเรื่องแบบนี้ถือปฏิบัติกันเรื่อยไปแล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลต่อไปในอนาคต

โดยเฉพาะในเวทีสำคัญอย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยฝ่ายค้าน หากไม่อาจพาดพิงต่อบุคคลภายนอกได้แล้ว ก็แทบจะไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้เลย เพราะไม่ว่าจะในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ความผิดพลาดในเชิงนโยบาย หรือการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของรัฐบาล การกระทำเหล่านี้ล้วนต้องเกี่ยวพันกับบุคคลภายนอกทั้งสิ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพาดพิงบุคคลภายนอกด้วย แต่ถึงที่สุดแล้วการอภิปรายไม่ไว้วางใจของเรายังคงมุ่งเป้าไปที่รัฐบาลเป็นสำคัญ

ฝากให้สังคมได้พิจารณาด้วยว่าการฟ้องคดีกันแบบนี้กำลังส่งผลให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือการตรวจสอบรัฐบาลในรูปแบบต่างๆ ถูกสกัดขัดขวางให้เสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่” นายรังสิมันต์ กล่าว

กระนั้นทีมข่าวเดอะทรูธ ได้ตรวจสอบว่านายรังสิมันต์ เคยฟ้องร้องดำเนินคดีกับใครหรือไม่ ด้วยสาเหตุใด ก็พบว่าเมื่อวันที่2 เมษายน 2564 ที่ศาลอาญารัชดา นายรังสิมันต์ พร้อมด้วยนายวรวิทย์ นิติบริรักษ์ทนายความ ได้เดินทางมาเพื่อยื่นฟ้องนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ และนายชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่าเหตุในคดีนี้ คือกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน และนายชัยยันต์ ผลสุวรรณ ในฐานะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 8 และ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ห้องแถลงข่าวอาคารรัฐสภา โดยมีการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาท ใส่ความ ทำให้นายรังสิมันต์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง โดยมีเจตนาที่จะเผยแพร่การแถลงข่าวไปสู่ประชาชนโดยทั่วไปด้วยเจตนาทุจริต

“พฤติกรรมของนายสิระ และนายชัยยันต์ ที่เข้าข่ายใส่ความหมิ่นประมาทจนเป็นเหตุแห่งการนำมาฟ้องในคดีนี้ คือพฤติกรรมที่ทั้งคู่ร่วมกันแถลงข่าวกรณีเกาะงำ จ.ภูเก็ต และได้ใส่ความกล่าวหาว่าผมคุกคามพี่น้องประชาชน กักขังหน่วงเหนี่ยวพี่น้องประชาชน ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย นอกจากนี้ยังมีการกล่าวหาว่าผมนำเด็กไปควบคุมตัว กล่าวหาว่าผมมีนายทุนคอยหนุนหลัง ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ถือเป็นข้อความเท็จ และทำให้ผมเสียหาย”

นอกจากนี้นายรังสิมันต์ ยังกล่าวอีกว่า อันที่จริงตนเองทบทวนการฟ้องคดีนี้อยู่หลายครั้ง เนื่องจากยังคงอยากรักษาบรรยากาศในการทำงานในคณะกรรมาธิการฯ นอกจากนี้ยังรู้สึกเกรงใจพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่พฤติกรรมของนายสิระ และนายชัยยันต์ในกรณีนี้ ไม่ใช่การโต้เถียงหรือวิพากษ์วิจารณ์กันในทางการเมือง แต่ถึงขนาดกล่าวหาว่าตนอุ้มเด็ก กล่าวหาว่าแอบอ้างตำแหน่งกรรมาธิการ กล่าวหาว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงกับนายทุน ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตนไม่เคยทำ

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุที่มีการคิดค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเป็นเงินจำนวน 50 ล้านบาทนั้น เนื่องจากทนายความเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนดูหมิ่นเกลียดชังและเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนชั่วร้าย เป็นคนไม่ดี ทั้งที่ความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้กระทำการใดตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวหาใส่ความเลยแม้แต่น้อย การแถลงข่าวของจำเลยทั้งสองถูกนำเสนอข่าวไปยังสื่อมวลชนหลายสำนัก ซึ่งสร้างความเสียหายต่อโจทก์เป็นวงกว้าง