นายพลสหรัฐฯระบุชัดว่า โลกได้ก่อเกิดมหาอำนาจ 3 ขั้วแล้ว คือสหรัฐ-รัสเซีย-จีน และสหรัฐต้องทุ่มเต็มที่เพื่อรักษาสถานภาพการเป็นเบอร์1 ไว้อย่างถึงที่สุด ถือเป็นการยอมรับที่น่าตกใจจากนายพลระดับสูงของสหรัฐฯ อย่างที่วอชิงตันเคยพูดถึงมอสโกและปักกิ่งว่าเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคไปแล้ว และคลังอาวุธนิวเคลียร์ทั้งของจีนและรัสเซียถือเป็น“ภัยคุกคามอย่างแท้จริงต่อสหรัฐฯ” เวลานี้ สหรัฐมองจีนว่าเป็น“ความท้าทายอันดับหนึ่ง” ในแง่ของการทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกของจีนที่รายงานเมื่อเร็วๆ นี้
สำนักข่าวเอเอฟพีและรัสเซียทูเดย์รายงานเมื่อวันที่ 4 พ.ย.2564 เกี่ยวกับรายงานของเพนตากอนและทำเนียบขาว ระบุว่าจีนอาจมีหัวรบนิวเคลียร์ 700 ลูกภายในปี 2027 และอาจแตะระดับ 1,000 ลูกภายในปี 2030 ปัจจุบ้นมีขนาดคลังแสงที่ใหญ่กว่าที่ทางเพนตากอนเพิ่งประมาณการณ์เมื่อ 1 ปีก่อน ถึง 2 เท่าครึ่ง
แต่รายงานไม่ยืนยันว่าปัจจุบัน จีนมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่เป็นจำนวนเท่าใด ขณะที่ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีอยู่ 3,750 หัวรบและอ้างว่าไม่มีนโยบายจะเพิ่ม เนื้อหาในรายงานยังกล่าวว่า จีนมีเจตนาจะท้าทายสหรัฐฯ ในทุกแนวรบทางทหาร ทั้ง บก เรือ อากาศ อวกาศและไซเบอร์ ส่งผลให้สหรัฐฯ ต้องเพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกับท่าทีของจีนต่อสถานะของไต้หวัน และจะต้องทุ่มสุดตัวเพื่อรักษาอิทธิพลของมหาอำนาจเบอร์1 ไว้
เนื้อหาการประเมินอยู่ในรายงานประจำปีของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เกี่ยวกับพัฒนาการของกองทัพจีนที่รายงานต่อสภาคองเกรส ระบุว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังลงทุนและขยายจำนวนฐานปล่อยนิวเคลียร์ ทั้งทางบก ทะเลและอากาศ และกำลังก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับสนับสนุนการขยายกองกำลังนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ของพวกเขา เช่นเดียวกับสหรัฐฯและรัสเซีย 2 ชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ชั้นนำของโลก
จีนกำลังสร้างคลังแสงนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่เรียกว่า นิวเคลียร์ไทรแอ็ด (nuclear triad) ด้วยศักยภาพ การปล่อยอาวุธนิวเคลียร์จากขีปนาวุธนำวิถีแบบทิ้งตัวยิงจากภาคพื้น จากขีปนาวุธยิงจากอากาศ และจากเรือดำน้ำ ครบทุกด้าน
รายงานระบุจีนดูเหมือนไม่ได้แสวงหาศักยภาพโจมตีทางนิวเคลียร์แบบไร้เหตุผลต่อศัตรูที่ติดอาวุธนิวเคลียร์ หลักๆคือสหรัฐฯ แต่ต้องการป้องปรามการโจมตีจากชาติอื่นๆ ถือว่าคำขู่ของจีนเป็นที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการตอบโต้ทางนิวเคลียร์
เมื่อ 1 ปีก่อน รายงานของเพนตากอน ระบุว่าจีนมีหัวรบนิวเคลียร์ราวๆ 200 ลูก และจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในปี 2030 แต่ข้อมูลปัจจุบันทำให้สหรัฐฯคิดหนัก
ก่อนหน้านี้เพียงวันเดียวเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2564 สนข.dpa International รายงานว่าเลขาธิการ NATO ออกมาแถลงว่าจีนกำลังขยายอิทธิพลในทุกมิติและทุกภูมิภาคของโลก
นายเจนส์ สโตลเทนเบิร์ก (Jens Stoltenberg) เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต (North Atlantic Treaty Organisation-NATO) ขณะพบปะกับนายเมทท์ เฟรดเดอริกเซน (Mette Frederiksen) นายกรัฐมนตรีแห่งเดนมาร์ก ระหว่างการเยือนกรุงโคเปนเฮเกน
เลขาธิการนาโตกล่าวว่า “การขยายอิทธิพลของจีนในทุกมิติและทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งในทวีปแอฟริกา ทวีปอาร์กติก ในอวกาศและโลกไซเบอร์ รวมทั้งพยายามควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน ในยุโรป กระทบต่อสมดุลอำนาจโลก อีกทั้งยังทำให้จีนมีอำนาจทางการทหารที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากขึ้น”
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ก็พยายามโน้มน้าวพันธมิตรของ NATO จากเดิมที่มุ่งติดตามรัสเซีย มาเป็นให้เฝ้าระวังจีนอย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกันนายพลระดับสูงของเพนตากอนเตือนว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างน่าตกตะลึงของกองทัพจีน ซึ่งแสดงให้เห็นผ่านการทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกโคจรรอบโลกเมื่อเร็วๆนี้ ส่งผลให้โลกกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ยุคของความไร้เสถียรภาพทางยุทธศาสตร์เพิ่มมากขึ้น
นายพลมาร์ค มิลลีย์ Mark Milley ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐ กล่าวที่ แอสเพน ซีเคียวริตี ฟอรัม (Aspen Security Forum) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ยอมรับว่าปีแห่งการปกครองของสหรัฐฯในโลก ใกล้หมดลง
มิลลีย์กล่าวว่า “เรากำลังเป็นประจักษ์พยานหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงในอำนาจภูมิยุทธศาสตร์โลกครั้งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยเห็นมา” “เรากำลังเข้าสู่โลกสามขั้ว โดยที่สหรัฐฯ รัสเซีย และจีนเป็นมหาอำนาจทั้งหมด แต่มีความซับซ้อนมากขึ้น”
มิลลีย์ เชื่อว่าการรักษาสันติภาพระหว่าง”มหาอำนาจ”ในรูปแบบสามขั้วจะยากกว่าในสมัยสงครามเย็นอย่างมาก เมื่อสองมหาอำนาจขัดแย้งกัน เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วยังเพิ่มความซับซ้อนขึ้นไปอีกด้วย