ปปช. ชงศาลฎีกาฟันพ้นสภาพ ส.ส. ปารีณา ผิดจริยธรรมร้ายแรง ปมรุกป่า?

2106

จากที่วันนี้ มีรายงานระบุ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่วันที่ 9 ก.พ. ได้พิจารณากรณีกล่าวหาบุกรุกที่ดินของน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

ตามที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) มายังป.ป.ช. เนื่องจากเห็นว่า น.ส.ปารีณา เป็นจ้าหน้าที่ของรัฐบุกรุกที่ดิน กรณีจงใจที่จะกระทำความผิดทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นไปตามพ.ร.บ.ป.ป.ช.ฉบับใหม่ ซึ่ง ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนจริยธรรมของนักการเมือง

โดยที่ประชุมมีมติชี้มูลความผิดว่า น.ส.ปารีณาผิดจริยธรรมร้ายแรงหลายข้อด้วยกัน เช่น ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์, ผลประโยชน์ขัดกัน โดยจะสรุปสำนวนเพื่อส่งฟ้องต่อศาลฎีกา

ทั้งนี้ โฆษกป.ป.ช.จะแถลงข่าวโดยละเอียดต่อสื่อมวลชนในวันพุธที่ 10 ก.พ. นี้ เวลา 14.00 น. ที่ห้องแถลงข่าวสำนักงานป.ป.ช.สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี

สำหรับโทษของข้อหาผิดจริยธรรมร้ายแรงคือต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. โดยเมื่อศาลฎีการับฟ้องจะต้องพิจารณาตัดสินว่าพ้นจากตำแหน่งหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ย้อนไปเมื่อ 2 พ.ย. 2563 พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผบก.ปทส.) เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวน บก.ปทส. เพื่อตรวจสำนวนคดีพร้อมสรุปสำนวนคดี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ กรณีครอบครองที่ดินใน ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี

ในครั้งนั้น พล.ต.ต.พิทักษ์ เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวน บก.ปทส.ได้ตรวจทานรายละเอียดสำนวนคดีดังกล่าว โดยบก.ปทส.มีความเห็นสั่งฟ้องตามความเห็นของคณะพนักงานสอบสวน ทั้งนี้อยู่ระหว่างการเตรียมส่งสำนวนคดีดังกล่าวให้พนักงานอัยการ จ.ราชบุรีสั่งฟ้องคดี โดย น.ส.ปารีณา ได้นัดหมายกับทางพนักงานสอบสวน ในวันที่ 5 พ.ย. โดยสำนวนคดีมีทั้งหมด 6 แฟ้มจำนวน 2,408 หน้า และได้สอบปากคำพยานเพิ่มเติมตามที่ น.ส.ปารีณา ร้องขอ 3 ปาก ซึ่งเป็นพยานที่ดินข้างเคียงแล้ว โดยสั่งฟ้องรวม 4 ข้อหา ประกอบด้วย ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ม.14 และ ม.31 “ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเบ็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนชาติ โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่โดยไม่ได้รับอนุญาต”

นอกจากนั้น ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 “ร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่” ความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน “ร่วมกันเข้าไปยึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงการก่อสร้างหรือเผาป่า กระทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ที่หิน ที่กรวด หรือที่ทราย ในบริเวณที่รัฐมนตรีประกาศหวงห้ามในราชกิจานุเบกษา หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเป็นอันตรายแก่ทรัพยากรในที่ดิน โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่าห้าสิบไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต” และความผิดตามพ.ร.บ.น้ำบาดาลพ.ศ.2520″ร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาล ในเขตน้ำบาดาลใด ๆ

ไม่ว่าจะเป็นผู้มีสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดิน ในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดจำคุก 4-20 ปี ปรับ 200,000-2,000,000บาท ซึ่งในส่วนของน.ส.ปารีณา จะถูกดำเนินคดีทั้งในฐานะบุคคลและนิติบุคคลด้วย

สำหรับ คดีดังกล่าวมีผู้กล่าวหา 5 ราย ประกอบด้วย นายวีระ สมความคิด, นายพัฒนะ ศิริมัย นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการสำนักป่าไม้จังหวัดราชบุรี, นายสุรเชษฐ์ ศรีแดงรักษา นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ ผู้อำนวยการป่าไม้จังหวัดราชบุรี, นายวัชระ ละอออ่อน นักวิชาการป่าไม้ปฎิบัติการ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 และนายสมชาย เลขาวิวัฒน์ ผอ.สำนักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดราชบุรี ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ บริษัท ปารีณา ไกรคุปต์ จำกัด โดยมี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ในฐานะนิติบุคคลและส่วนตัว หลังพบว่าบุกรุกที่ เขาสนฟาร์ม หมู่ที่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จำนวน 711 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวา

นอกจากการเอาผิด น.ส.ปารีณาแล้ว ทางบก.ปทส. ได้เรียก นายทวี ไกรคุปต์ บิดาของ น.ส.ปารีณา มารับทราบข้อกล่าวหาซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับ น.ส.ปารีณาหลังถูกร้องเรียนว่าบุกรุกที่ดินรัฐ กว่า 1 พันไร่ บริเวณหมู่ 9 ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรีด้วย

ทั้งนี้ ในครั้งนั้น น.ส.ปารีณา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนประสงค์ที่จะให้นายทศพล เพ็งส้ม ในฐานะทนายส่วนตัว เป็นผู้ตอบคำถามทั้งหมด ในขั้นตอนกระบวนการของกฎหมาย เมื่อถามว่ามีความกังวลในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ น.ส.ปารีณา กล่าวย้ำว่า “ขอให้ทางทนายเป็นผู้ตอบ ส่วนในเวลานี้ ตนยังทำงานตามปกติ”