“บิ๊กตู่”ปลื้ม!! ฟิทช์เรทติ้งส์เชื่อมั่นศก.ไทยฟื้นเร็ว ปีหน้ากระหึ่ม 4.8%

1387

นายกรัฐมนตรี ยินดีกับผลการประเมินเศรษฐกิจไทยของ “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ชี้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในปี 2565 จากอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสะท้อนต่างชาติเชื่อมั่นไทย ภายหลังที่นายกฯประกาศเปิดประเทศ 1 พ.ย.นี้ก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นบวก ทั้งจากภาคธุรกิจของไทย และต่างชาติ  ขณะที่ศบค.จะพิจารณาอนุมัติประเทศที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งลูกค้าท่องเที่ยวเพิ่มอีก 24 ประเทศ โดยจะดำเนินการเป็นขั้นตอนไป  

เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อผลการวิเคราะห์ของบริษัท Fitch Ratings (ประเทศไทย) จำกัด (Fitch Rating Thailand) ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ได้ระบุว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นภายในปี 2565 โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและการกลับมาเปิดธุรกิจอีกครั้ง

ทั้งนี้ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 0.8% จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในปี 2565 คาดขยายตัว 4.8% หลังอัตราการฉีดวัคซีนโควิดปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง หนุนธุรกิจเริ่มเปิดให้บริการใหม่ 

เนื่องจากสภาพแวดล้อมจากทั่วโลกที่มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตลอดจนอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทไทยรายใหญ่ต่าง ๆ มีเสถียรภาพเพิ่มมากขึ้น แต่มองว่าอุตสาหกรรมด้าน “ธนาคาร-ค้าปลีก-โรงแรม” ยังคงเผชิญความท้าทาย

 

นายโอบบุญ  ถิรจิต ผู้อำนวยการฝ่ายจัดอันดับเครดิตภาคธุรกิจอุตสาหกรรมของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย)กล่าวว่า  การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะช่วยให้รายได้ของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยฟิทช์เติบโตต่อเนื่องในปี 2565 บริษัทส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมในภาคพลังงานและปิโตรเคมีซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2563 

ทั้งนี้ ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตกลับมาเป็นมีเสถียรภาพ จากการที่รายได้เริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด*19  สำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกและโรงแรม  ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากยอดผู้ป่วย โควิด-19 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากและการจำกัดการเดินทางในปี 2564 น่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2565 แต่น่าจะใช้เวลา 2 ปี ที่การฟื้นตัวจะกลับขึ้นมาในระดับก่อนเกิดโควิด-19

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีกับผลการประเมินดังกล่าว ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของภาคเอกชนในต่างประเทศที่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล และการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทย 

โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่ารัฐบาลพร้อมจะต่อยอดนโยบายที่เป็นประโยชน์กับการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจในประเทศให้แข็งแกร่ง สอดรับกับการเจรจากับต่างประเทศ และในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเพิ่มปฏิสัมพันธ์ในเวทีโลก ควบคู่กับการพัฒนาด้านสาธารณสุขอย่างครอบคลุมให้ทันต่อสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ในการเตรียมเปิดประเทศ ที่ประชุมศบค.ยังมีการพิจารณาการจัดกลุ่มประเทศ มูลค่าทางเศรษฐกิจ และความคลุมการได้รับวัคซีน ตามเกณฑ์เงื่อนไขการกักตัว และสำหรับการเข้าราชอาณาจักรแบบไม่กักตัว และไม่จำกัดพื้นที่ โดยจะต้องรอการพิจารณาประเทศที่ชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอเข้าที่ประชุมศบค.เพื่อพิจารณาอีกครั้ง  

โดยประเทศที่ไม่ติดเงื่อนไขกับตัว และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมถึงวัคซีนครอบคลุมสูงแล้วตามที่ททท.เสนอประกอบด้วย  24 ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) และกลุ่มประเทศนอร์ดิก 5 ประเทศ ประกอบด้วย เดนมาร์กฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน  นอกจากนี้ ยังมีประเทศอิสราเอล สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา อินเดีย  ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และกาตาร์ 

ผลจากการเปิดโครงการ Phuket Sandbox นำร่องการท่องเที่ยว ประสบความสำเร็จและได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยว จนขยายเป็นโครงการอื่นๆ เป็นผลทำให้นายกรัฐมนตรีประกาศจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นี้แน่นอน

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 ต.ค.นายกรัฐมนตรีฯได้แถลงเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาในราชอาณาจักรแบบไม่กักตัว และไม่จำกัดพื้นที่โดยกำหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ อย่างน้อย 10 ประเทศ โดยมี อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และสหรัฐอเมริกาเป็นกลุ่มหลักเบื้องต้น

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท.(การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) กล่าวด้วยว่า การยกเลิกขั้นตอนการขอใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทย (COE) ที่ได้รับเสียงร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติว่ามีขั้นตอนยุ่งยากนั้น จะยกเลิกได้ก็ต่อเมื่อ พรก.ฉุกเฉิน ถูกยกเลิกแล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกในการเดินทางเพิ่มแรงจูงใจในการเข้ามาท่องเที่ยวด้วย

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้เป็นต้นไป ททท.ได้รับการยืนยันมาว่าจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการของ COE ที่ง่ายขึ้น และถ้าหากมีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ก็จะมีการยกเลิก COE ไปเป็นรูปแบบอื่นที่ง่ายขึ้นเช่นกัน โดยทุกขั้นตอนจะต้องดำเนินการให้เสร็จก่อนนักท่องเที่ยวขึ้นเครื่องบินออกจากประเทศต้นทาง ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากสายการบินต่างๆ ช่วยตรวจสอบเอกสารที่จำเป็น เพื่อลดความแออัดที่สนามบิน