หอการค้าฯฟันธง!?!คลายล็อกธุรกิจดันเศรษฐกิจฟื้น เงินสะพัด 12,000 ล้านต่อวัน ห่วงน้ำท่วมกระทบเปิดประเทศ

1382

หอการค้าฯ ชี้ มติ ศบค. ส่งสัญญาณความเชื่อมั่นภาคธุรกิจคาดเศรษฐกิจปีนี้เป็นบวกได้ ทำเงินสะพัดเศรษฐกิจไทยคาดการณ์การจับจ่ายใช้สอย ต.ค. เพิ่ม 10,000-12,000 ล้านบาทต่อวัน ห่วงน้ำท่วมทำเศรษฐกิจเสียหายอาจกระทบแผนเปิดประเทศ ขณะที่ภาคเอกชนพร้อมร่วมมือรัฐบาลดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

นายสนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่ ศบค. มีมติเห็นชอบให้มีการผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น ร้านเสริมสวย นวดและสปา สถานเสริมความงาม โรงภาพยนตร์ และเล่นดนตรีในร้านอาหารได้ตามปกติ รวมทั้งลดระยะเวลาห้ามออกนอกเคหสถานเป็น 22.00-04.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ถือเป็นข่าวดี และเป็นการส่งสัญญานสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในอีก 3 เดือนที่เหลือ รวมทั้ง สะท้อนความสามารถของระบบสาธารณสุข ที่พร้อมจะรับมือกับการแพร่ระบาด

นายสนั่นกล่าวว่า “เกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา หลายธุรกิจได้รับการผ่อนคลายและเตรียมตัวกลับมาเปิดดำเนินการ ส่วนภาคประชาชนก็เริ่มมีความมั่นใจในการกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงในหลายจังหวัดประกอบกับ สถานพักคอยและโรงพยาบาลสนามหลายแห่ง เริ่มมีผู้ป่วยลดลงในระดับที่ควบคุมสถานการณ์ไม่ให้หนักได้ สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ศบค. พิจารณาผ่อนคลายกิจการ และมาตรการต่าง ๆ มากขึ้น”

การปลดล็อกธุรกิจเช่นนี้ หอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า การจับจ่ายใช้สอยทางเศรษฐกิจในเดือนตุลาคมนี้ น่าจะเพิ่มมาเป็น 10,000-12,000 ล้านบาทต่อวัน และ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ให้กลับมาเป็นบวกได้อย่างแน่นอน

ในขณะนี้ หลายพื้นที่ทำงานกันแบบภาครัฐร่วมเอกชน วางแผนเปิดเมืองร่วมกัน เชื่อมั่นว่า แนวทางหรือมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมานั้น ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทุกฝ่าย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นลำดับแรก และพยายามผ่อนคลายให้ภาคธุรกิจดำเนินกิจกรรมต่อไปได้ นอกจากนั้น ปริมาณวัคซีนที่ยังทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมีการกระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งการปลดล็อค ATK ให้มีราคาที่ถูกลง จะทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ เกิดความมั่นใจมากขึ้น และพร้อมจะปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาด เหล่านี้เป็นปัจจัยบวกหนุนให้โอกาสที่เศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างราบรื่น

นอกจากนั้น แผนการเปิดเมืองที่จะทยอยเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาได้นั้น หอการค้าไทยได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น  กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร และ ททท. ในการวางมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางที่ผ่านเกณฑ์มาตรการต่าง ๆ ให้เข้า-ออกประเทศไทยได้ โดยมีการจำกัดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นโดยเร็ว  เชื่อว่าในไตรมาสสุดท้ายจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการกลับมาได้

อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทยเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นหลายจังหวัดในขณะนี้เป็นอย่างมาก เพราะอาจจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้ โดยประเมินว่า อาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ได้ติดต่อไปยังหอการค้าจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ เร่งประสานงานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อร่วมหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนต่อไป

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงกรณีที่ ศบค. เห็นชอบให้ลดการกักกันสำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ที่ฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ จากเดิม 14 วันเหลือ 7 วัน และปรับแผน 

โดยให้พื้นที่นำร่องเดิมที่เป็นโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ 7+7 Extension ซึ่งเดิมต้องรับนักท่องเที่ยวอยู่ครบ 7 วันในภูเก็ตก่อนว่า ตั้งแต่วันที่ 1-31 ต.ค.นี้ จะปรับรูปแบบเป็น 4+3 วันก่อนในช่วงแรก จากนั้นพื้นที่ใดพร้อมและพื้นที่ทำเรื่องยืนยันมา ให้รับนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศตรงได้เลย

สำหรับพื้นที่นำร่องที่จะเปิดต่อไปประกอบด้วย กระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลห์ และเพิ่มเติมคลองม่วง ทับแขก) พังงา (เขาหลัก เกาะยาว) จึงเท่ากับพื้นที่นำร่องเหล่านี้ เป็นเหมือนภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ที่นักท่องเที่ยวที่ตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR จะไม่ถูกกักตัว และเมื่ออยู่ในพื้นที่ครบ 7 วัน สามารถไปยังพื้นที่อื่นทั่วประเทศได้ เช่นเดียวกับสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า) ที่ ศบค.อนุมัติให้ไม่ต้องกักตัวเหมือนภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ จากเดิมที่ในโครงการสมุย พลัส โมเดล กำหนดให้ต้องอยู่ในโรงแรม 3 วันแรก และ 4 วันต่อมาถึงออกไปทั่วบริเวณเกาะสมุยได้

ด้าน น.ส.ชรินทิพย์ ตียาภรณ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า การที่รัฐบาลลดการกักตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 7 วัน และให้พื้นที่นำร่องของกระบี่ รับนักท่องเที่ยวตรงได้นั้น จะทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เพราะเดินทางสะดวกมากขึ้น ที่สำคัญขณะนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวทะเลของกระบี่ 

โดยวันที่ 31 ต.ค.2564นี้ จะมีเที่ยวบินแรกจากสิงคโปร์และมาเลเซียมาลงจอดที่สนามบินกระบี่ และวันที่ 1 พ.ย.นี้ จะมีเที่ยวบินจากสแกนดิเนเวียมาลงจอด 

ด้านกรุงเทพฯ พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงแนวทางการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวว่า กรุงเทพมหานครยินดีที่จะเปิดเมืองเพื่อรับนักท่องเที่ยว แต่เพื่อความปลอดภัยของประชาชนจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด กรุงเทพมหานครมีแนวทางปฏิบัติสำหรับการเปิดเมือง 3 ข้อ ดังนี้ 

  1. ประชากรของกรุงเทพมหานครต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 อย่างน้อย 70% ขึ้นไป โดยคาดว่าจะครบตามเป้าหมายที่กำหนดประมาณวันที่ 22 ตุลาคม 2564 ซึ่งหลังจากนั้นต้องรออีกอย่างน้อย 7-14 วัน เพื่อให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้นตามหลักการแพทย์

2.ผู้ติดเชื้อมีจำนวนลดลง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ประมาณ 2,700-2,800 คน 

3.ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีจำนวนลดลง  

กรุงเทพมหานครจะได้หารือกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถึงแนวทางการเปิดเมืองเพื่อรับนักท่องเที่ยว และจะนำเข้าที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เพื่อพิจารณาต่อไป

การเปิดเมืองนั้นคงต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ แม้หวังสร้างรายได้ฟื้นเศรษฐกิจ แต่ความปลอดภัยของชีวิตประชาชนนั้นสำคัญที่สุด