จากกรณีที่มีเพจวิจารณ์หนังชื่อดัง ได้โพสต์ถึงข้อมูลที่ระบุว่า ประเทศไทยกำลังสูญเสียโลเคชั่น สถานที่ถ่ายทำหนัง ซึ่งเนื้อหาออกแนวดิสเครดิตประเทศไทย จนทำให้ทางด้านอดีตทูตนริศโรจน์ เฟื่องระบิล ที่ได้ใช้ชื่อเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ออกมาเปิดเผยข้อมูลความจริงตอบโต้
โดยระบุว่า “เดี๋ยวนี้มีขบวนการแปลก ๆ ที่ทำทุกอย่างเพื่อ discredit ประเทศตัวเอง ตัวอย่างเพจเกี่ยวกับภาพยนตร์อันนึงที่เขียนบทความว่าไทยกำลังสูญเสียการเป็นโลเคชั่นในการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศให้กับ มาเลเซียและเวียดนาม เนื่องจากระบบราชการที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรค
ในฐานะที่ผมเองตอนนี้เป็นประธานคณะอนุกก.พิจารณาการขอถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย (Film Board) คณะที่ 2 ต้องขอเรียนชี้แจงว่า บทความที่เพจหนังเขียนนั้นเป็นข้อมูลที่มั่วมาก ไม่มีหลักฐานอะไรอ้างอิงเลย ผมขอสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ
1. ปัจจุบันรัฐบาลไทยให้ incentive แก่คณะถ่ายหนังต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายทำในไทย ถ้างบเกิน 50 ล้าน
จะได้ เงินคืน cash rebate 15% เป็นหลัก ยังไม่พอจะคืนให้อีก
+3 % หากมีการจ้างงานคนไทยในตำแหน่งที่กำหนด และยังมีเพิ่มให้อีก +2 % หากประชาสัมพันธ์สถานที่ถ่ายทำ สถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรมของไทย
2. ปีที่แล้ว 62 มีหนังประเภทต่างๆเข้ามาถ่ายทำในไทยเกือบ 800 เรื่อง ทำรายได้เข้าประเทศ เกือบ 5,000 ล้านบาท ! แต่พอมาปีนี้เนื่องจากสถานการณ์โควิดระบาดทั่วโลก เลยทำให้การเข้ามาถ่ายทำหยุดชะงักทั่วโลก ย้ำ ทั่วโลก ! ไม่เว้นแม้แต่มาเลเซียและเวียดนาม
3. แต่ถึงกระนั้นก็ตามขนาดคนอื่นเขาฟุบ แต่ก็ยังมีกองถ่ายหนังโฆษณาจากหลายประเทศก็ยังเดินหน้าถ่ายทำในประเทศไทย โดยใช้วิธีจ้างทีมงานไทยทำให้ โดยทางฝ่ายต่างประเทศใช้วิธี Live สด ควบคุมจากต่างประเทศ
4. การขออนุญาตถ่ายทำใช้เวลาเร็วมากประมาณ 3 วันทำการ ยื่นเรื่องแล้วเข้าที่ประชุมคณะกก.ที่มีประชุมทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เพื่ออนุมัติแล้วถ่ายทำได้เลย ขอยืนยันว่า Film Board ไทยเร็วกว่ามาเลเซียและเวียดนามแน่นอน อันนี้ผมได้สอบถามด้วยตัวเองกับ ทางกองถ่ายต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายทำในไทย !
5. ทางมาเลเซียนั้นได้มีความพยายามที่จะแข่งกับไทยในเรื่องนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยที่ถ่ายหนัง Anna and the King ซึ่งไทยไม่อนุมัติ (เคยเขียนอธิบายเบื้องหลังไปแล้ว ไปหาอ่านเอง ใน blockdit ผมก็เอาไปลงไว้) ทางมาเลเซียพยายามตั้ง Film Village เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว มี promotion อะไรต่างๆ แต่กองถ่ายก็เลือกมาไทยมากกว่า เคยถามกองถ่ายต่าง ๆ ว่าทำไม เขาบอกว่าระเบียบของมาเลเซียเอกสารซับซ้อนกว่า และเงื่อนไขที่สำคัญอีกอันคือ ทางกองถ่ายต้องหยุดให้คนงานมาเลเซียที่เป็นมุสลิมละหมาด ซึ่งที่ไทยไม่มี จึงทำให้การถ่ายทำในไทยราบรื่นกว่า
6. ส่วนที่เวียดนามนั้น ระบบยิ่งซับซ้อนกว่ามาเลเซียอีก ยิ่งถ้าเป็นหนังเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ต้องผ่านการพิจารณาเนื้อหาของคณะกก.พรรคคอมฯ ก่อน ดังนั้น หนังเกี่ยวกับสงครามเวียดนามจึงเข้ามาถ่ายทำในไทยเกือบทั้งหมด มีบางเรื่องไปถ่ายที่ฟิลิปปินส์แต่น้อยกว่าไทยมาก เมื่อปีที่แล้วมีหนังเกี่ยวกับสงครามเวียดนามเรื่องนึงแพลนไปถ่ายทำที่เวียดนาม ออกข่าวใหญ่โต ปรากฏว่าพอไปถึงเข้าจริงๆ เจอปัญหาสารพัด สุดท้ายเลยต้องขอถอนตัวจากเวียดนาม ขอมาถ่ายทำในไทยแทน สาเหตุนึงที่ผมทราบคือ หน่วยงานเวียดนามยังไม่เปิดใจกว้างพอกับหนังต่างประเทศ และที่สำคัญทีมงานเวียดนามขาด skill และประสบการณ์กับกองถ่ายต่างประเทศแบบเทียบกับไทยไม่ติด
7. ผมเคยถาม Andrew Mcdonald ผอ.การสร้างหนัง The Beach ที่เคยเข้ามาถ่ายในไทยเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว เขาบอกว่าสาเหตุที่เลือกไทยเพราะ infrastructure ไทยดีที่สุดในภูมิภาค โลเคชั่นดี ทีมงานไทย (local film crew) มีความชำนาญและประสบการณ์การทำงานกับ Hollywood มาแล้ว และที่สำคัญที่ผมยังจำได้ถึงบัดนี้คือ เขาบอกว่า ทีมงานไทยถ้ารู้จักสนิทสนมกันดีแล้ว จ้าง 100 แต่ทำให้เกิน 100 ในขณะที่บางประเทศ จ้าง 100 แต่ทำให้ 70-80 แค่นั้น ทั้งๆที่ประสบการณ์และความชำนาญเทียบทีมงานไทยไม่ได้เลย (เขาใช้คำว่าเป็นทีมงานประเทศอื่นนั้นเป็นพวก money talking ต้องใช้เงินเป็นตัวเดินงาน ! )
8. มีคนบอกผมว่าการที่เพจหนังนั้นเขียนโจมตีโดยไม่มีข้อมูลอะไรเลยนั้น เขาทำเป็นขบวนการคือ ปั่นข้อมูลเสี้ยม ข้อมูล fake เพื่อจุดประสงค์เดียวคือ discredit ประเทศไทยให้มากที่สุด
9. ขนาดตอนนี้ทั่วโลกงอมกับสถานการณ์โควิด แต่เชื่อมั้ยครับว่าตอนนี้มีกองถ่ายหนังใหญ่ระดับหลายร้อยล้านบาทอีกประมาณ 4-5 เรื่อง จ่อคิวติดต่อขออนุญาตมาถ่ายทำในไทย โดยเขายอมทำตามมาตรการที่รัฐบาลไทยออกมาทุกอย่าง เช่น ต้องกักตัวทีมงานก่อน 14 วัน ต้องมีมาตรการทางด้านการแพทย์ระหว่างถ่ายทำ ฯลฯ เขาก็ยอมทำตาม ซึ่งอยากให้เพจหนังอันนั้นไปลองหาข้อมูลจากมาเลเซียและเวียดนาม เทียบกับไทย ช็อตต่อช็อตเลยว่า ของทั้ง 2 ประเทศนั้นมีการขอเข้าไปถ่ายทำแค่ไหน อย่าเพียงเขียนแบบ “มโน” แล้วโจมตีกันเองเลยครับ ลองไป search หาข้อมูลเถอะแล้วจะรู้เอง !!!”
ที่มา : Fuangrabil Narisroj