กลิ่นผิดปกติ! ถอดรหัสคำพูด “ธรรมนัส” ประกาศลั่นไม่คุย “บิ๊กตู่” จะคุยแค่กับ “บิ๊กป้อม” คลื่นใต้น้ำยังไม่สงบ?
สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ในครั้งนี้ได้มีการเปิดเผยอย่างหนาหูว่า มุ่งไปที่การล้มรัฐบาล โดยมีเป้าหมายหลักคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงทำให้มีกระแสข่าวลือออกมาเป็นอย่างมากว่า มีคนในพรรคพลังประชารัฐ เป็นคนเดินล็อบบี้เสียงอภิปรายในครั้งนี้
โดยที่ผ่านมาสื่อสำนักต่างๆ ได้มุ่งเป้าไปที่บุคคลสำคัญภายในพรรค ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวลือดังกล่าวนี้หรือไม่ นั่นก็คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 31 ส.ค.64ก็ได้มีภาพ ร.อ.ธรรมนัส นั่งพูดคุยกับหัวหน้าพรรคเล็กหลายพรรค และมี ส.ส.เพื่อไทยอยู่ด้วย
ถึงอย่างไรในวันที่ 1 ก.ย.64 ที่ผ่านมา ทางด้านของ ร.อ.ธรรมนัส ก็ได้ออกมาชี้แจงในประเด็นดังกล่าวแล้วว่า “ภาพนั่งคุยเป็นการทักทายกันปกติ” แต่ก็ยังได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ด้วยว่า “มีรัฐมนตรีบางคนกำลังเดินเกมล็อบบี้ ส.ส.”
แต่ที่น่าสนใจที่สุด และทำให้หลายๆคนถึงกับต้องเอะใจแปลกๆ คงหนีไม่พ้นในการที่ทางด้านของ ร.อ.ธรรมนัส ได้ให้สัมภาษณ์หลังจากที่สื่อได้ถามถึงประเด็นว่า “พูดคุยทำความเข้าใจกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมแล้วหรือยัง” ว่า “ผมยืนยันว่าผมไม่คุยกับนายกฯ แต่ผมคุยกับรองนายกฯ ที่เป็นหัวหน้าพรรคผม เมื่อตอนกลางวันผมก็เพิ่งไปทานข้าวกับรองนายกฯมา”
ซึ่งทางด้านของ ร.อ.ธรรมนัส ยังถูกถามอีกในเรื่องของการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางในนายก หลังจาก นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ อ้างข่าวว่า นายกฯเซ็นคำสั่งปลดแล้ว
ทางด้าน ร.อ.ธรรมนัส ก็ได้ยังยืนยันท่ามกลางความคุกรุนนี้อย่างเสียงแข็ง โดยระบุว่า การโหวตไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 4 กันยายนนี้หรือไม่นั้น เป็นสิทธิส่วนบุคคลของส.ส.
ไม่มีใครสามารถไป “ครอบงำ” หรือ “บังคับ” คนเป็น ส.ส.ได้
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าแปลกใจเป็นอย่างมากว่าเหตุใด ร.อ.ธรรมนัส ถึงได้ยืนยันถึง 2 ครั้งว่า จะไม่คุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ทั้งที่ทางด้านของ ร.อ.ธรรมนัส คือผู้ที่ถูกเพ่งเล็งในเรื่องราวสุดดุเดือดครั้งนี้ ก็น่าจะมีการแวะเวียนเข้าไปพูดคุยหรือชี้แจงถึงเรื่องราวเหล่านี้กับทางด้านนายกรัฐมนตรีด้วยตนเองบ้าง และไม่เคยแก้ตัวในข่าวลือที่ออกมาให้ได้เข้าใจในมุมมองของ ร.อ.ธรรมนัส ต่อนายกฯ เลย ซึ่งดูจากสถานการณ์แล้วนี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างผิดปกติ สำหรับเลขาธิการพรรคแกนนำรัฐบาล