สหรัฐขายหน้าถอนทหารจากอาฟกาฯล้มเหลว!?! ไบเด็นเจอกดดันต้องมีคนรับผิดชอบ

1112

วันอังคารที่ 31 ส.ค.2564 สำนักข่าวสปุ๊ตนิกรายงานว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน มีกำหนดจะกล่าวปราศรัยต่อประเทศเกี่ยวกับการถอนทหารสหรัฐออกจากอัฟกานิสถานเสร็จสิ้น ซึ่งได้รับการยืนยันก่อนหน้านี้โดยกระทรวงกลาโหม นายพลเกษียณและนายทหารชาวอเมริกันเก้าสิบนายได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงกระทรวงกลาโหม, รัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสตินและประธานคณะเสนาธิการร่วมมาร์ค มิลเลย์(Gen.Mark Milley) กรณีสหรัฐนำทหารออกจากอัฟกานิสถานเป็นมากกว่า “หายนะ”ของอเมริกา

ในจดหมายเปิดผนึกที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ 30 ส.ค.2564 ผู้ลงนามเน้นว่าการเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม (SECDEF) และประธานคณะเสนาธิการร่วม (CJCS) มีพื้นฐานมาจาก “ความประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่การถอนทหารที่เกี่ยวข้องเป็นหลักและเหตุการณ์แวดล้อม” 

ผู้ลงนามใจจดหมายเน้นย้ำว่า “การหลบหนีอย่างเร่งรีบได้ปล่อยให้อเมริกัน15,000 คนติดอยู่ในพื้นที่อันตรายที่ควบคุมโดยศัตรูที่โหดร้าย พร้อมกับชาวอัฟกันประมาณ 25,000 คนที่สนับสนุนกองทัพอเมริกันมาโดยตลอด 20 ปี”

เอกสารเน้นว่า “ผลที่ตามมาจากภัยพิบัติครั้งนี้มหาศาลและจะก้องกังวานไปนานหลายทศวรรษ โดยเริ่มจากความปลอดภัยของชาวอเมริกันและอัฟกันที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายอย่างปลอดภัยไปยังจุดอพยพ การสูญเสียอุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ขั้นสูงหลายพันล้านดอลลาร์ตกอยู่ในมือศัตรูของเรา ถือเป็นหายนะ” 

จดหมายระบุว่าความเสียหายต่อชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกาอันเป็นผลมาจากการถอนทหารนั้น “อธิบายไม่ได้ เราถูกมองว่าเป็นพันธมิตรที่ไม่น่าเชื่อถือในข้อตกลงหรือการดำเนินการข้ามชาติใด ๆ เป็นเวลาหลายปี ความไว้วางใจในสหรัฐอเมริกาได้รับความเสียหายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้” 

โดยสรุป เอกสารดังกล่าวกล่าวถึง “หลักการพื้นฐานในกองทัพซึ่งกำหนดให้ผู้รับผิดชอบต้องรับผิดชอบต่อการกระทำหรือการไม่กระทำการของตน”

ก่อนหน้านี้ปธน.โจไบเดน ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ารอบทิศเกี่ยวกับการจัดการการถอนทหารของเขา

พรรครีพับลิกันหลายคนได้เรียกร้องให้ปธน.ไบเดนถูกกล่าวโทษในประเด็นนี้ ในขณะที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเมื่อต้นเดือนนี้ว่า การตัดสินใจของเขาปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพระหว่างสหรัฐฯ กับตาลิบัน ในปี 2020 และ เขาไม่ต้องการจะส่งมอบสงครามไปยังประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปหรือส่งกองกำลังอเมริกันไปต่อสู้กับกลุ่มตาลิบันอีก เมื่อกองกำลังอัฟกันเต็มใจปล่อยให้กลุ่มติดอาวุธเข้าควบคุมประเทศโดยไม่ต่อสู้ขัดขืน

ปธน.โจ ไบเดนได้ปกป้องการกระทำของเขาอย่างรวดเร็ว โดยชี้ให้เห็นว่าเขาได้รับข้อตกลงจากโดนัลด์ทรัมป์ผู้ซึ่งต้องการให้กองทหารสหรัฐออกจากอาฟกานิสถานในเดือนพฤษภาคม ทำเนียบขาวยังพยายามที่จะหยิบยกประเด็นการอพยพผู้คนมากกว่า 100,000 คน ซึ่งเป็นการขนส่งทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ถึงกระนั้น ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับข่าวทีวีทุกคืนและครอบงำการสนทนาระดับชาติทำให้พรรครีพับลิกันมีโอกาสที่จะรวมตัวกันถล่มไบเดนด้วยสาเหตุเดียวกันนี้

อดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์แย่งซีนทันที โดยอธิบายว่าการล่าถอยครั้งนี้เป็น “ความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา” และเรียกร้องให้ไบเดนลาออก

 มิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา ซึ่งที่ผ่านมามักไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ ได้คร่ำครวญถึง “ความล้มเหลวครั้งใหญ่” และเตือนว่าไบเดน “ยังคงสื่อสารกับโลกด้วยการกระทำที่ว่า มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกจะปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายและอันธพาลเป็นฝ่ายกดดันเรา”.

วุฒิสมาชิก ลินด์ซีย์ เกรแฮม ผู้นำพันธมิตรทรัมป์ เรียกร้องให้ไบเดนถูกกล่าวโทษและแสดงความคิดเห็นว่า “มันเป็นสิ่งที่น่าอับอายที่สุดที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำในยุคปัจจุบัน” 

ลิซ เชนีย์ สภาคองเกรสหญิง ผู้นำนักวิจารณ์ทรัมป์กล่าวว่า “ปธน.ไบเดนรับผิดชอบโดยตรงต่อสิ่งที่เป็นการตัดสินใจที่หายนะจริง ๆ ซึ่งจะทำให้เราตกอยู่ในความเสี่ยงในแบบที่เราไม่เคยทำมาก่อนเหตุการณ์ 9/11”

แรงที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นส.ส. เอลิส สเตฟานิค(Elise Stefanik) จากนิวยอร์กเหตุระเบิดเมื่อวันพฤหัสบดีนำไปสู่การเรียกร้องให้ไบเดนลาออก โดยใช้ภาษาที่น่ากลัวว่า “โจ ไบเดน มีเลือดติดอยู่ที่มือ ความมั่นคงของชาติที่น่าสยดสยองและภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมนี้เป็นผลมาจากความเป็นผู้นำที่อ่อนแอและไร้ความสามารถของโจ ไบเดน เท่านั้น เขาไม่เหมาะที่จะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด”

บิลล์ วอลเลน(Bill Whalen)ที่ปรึกษาด้านสื่อของพรรครีพับลิกันรวมถึงอดีตผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Arnold Schwarzenegger กล่าวว่า “Joe Biden สูญเสียแบรนด์ของเขาไปในขณะนี้ อย่างน้อย แบรนด์ของ Joe Biden ที่ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคือ “ฉันจะมีความสามารถมากกว่าที่ Donald Trump เคยเป็นมา และฉันจะมีเห็นอกเห็นใจมากขึ้น” แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป

“หากการรณรงค์เกิดขึ้นภายในสองเดือน ไม่ใช่หนึ่งปีกับสองเดือน ธีมที่พรรครีพับลิกันจะใช้จะค่อนข้างคล้ายกับธีมที่พวกเขาใช้ในปี 1980และนั่นก็ถือเป็นอาการย้ำความอ่อนแอป่วยไข้ของอเมริกา  พวกเขาจะชี้ไปที่เงินเฟ้อ ชี้ไปที่นโยบายต่างประเทศที่ล่มสลาย และพวกเขาจะชี้ไปที่ประธานาธิบดีที่ดูเหมือนจะไม่รับผิดชอบ”

ล่าสุดคะแนนความนิยมของไบเดน ลดลงต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก การลดลงซึ่งอาจสะท้อนถึง ปัญหาการฟื้นตัวของ Covid-19 รวมอยู่ด้วย ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยยูเอสเอทูเดย์-ซัฟโฟล์คที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาลดลงเหลือ 41% โดย 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่ปลื้มปธน.โจ ไบเดน

วอลเลนกล่าวว่า “ผลการเลือกตั้งค่อนข้างชัดเจน คนอเมริกันส่วนใหญ่ต้องการให้เราออกจากอัฟกานิสถาน แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ชอบสิ่งนี้เช่นกัน เพราะชาวอเมริกันต้องการให้สิ่งต่าง ๆ ถูกต้องและเมื่อไม่ได้ทำอย่างถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่ฆ่าประธานาธิบดี มันเป็นมนต์แห่งความไร้ความสามารถที่รีพับลิกันจะโถมใส่ประธานาธิบดีคนนี้”

เอาละซิ ไม่ว่าใครสักคน จะต้องออกมาลดกระแสความไม่พอใจครั้งนี้ มองดูแล้วลูกศรอาจชี้ไปที่ รมว.ลอยด์ ออสตินกระมัง สำหรับมิลเลอร์อาจได้รับการปกป้องเพราะมีผลงานสำคัญย้อนศรทรัมป์ ทำคะแนนให้ไบเดน??