จากสถานการณ์การชุมนุม คาร์ม็อบ 15 สิงหา ที่ภายหลังจบการเคลื่อนขบวนในเวลา 17.00 น. ได้มีผู้ชุมนุมบางส่วนได้เคลื่อนการชุมนุมด้วยรถจักรยานยนต์ไปยังบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง จุดที่จะผ่านไปยังหน้าบ้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม
โดยเจ้าหน้าที่นำตู้คอนเทนเนอร์มาตั้งขวางถนนไว้ จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างเผชิญหน้ากัน โดยมีกลุ่มคนบางส่วนได้ขว้างปาสิ่งของเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้ตำรวจควบคุมฝูงชนได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมจนแตกฮือ
และทางด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำผู้จัดคาร์ม็อบ ได้เดินทางมายังสามเหลี่ยมดินแดง เพื่อให้ผู้ชุมนุมบริเวณดังกล่าวถอยออกมาและลดการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ได้เป็นผลสำเร็จมากนัก เพราะเจ้าตัวบอกว่า มีกลุ่มหัวรุนแรง ที่ตั้งใจมาป่วน ก่อเหตุ และเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ทำให้จากนี้ต้องระวังเรื่องการจัดม็อบ เพราะจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ล่าสุดทางด้านนายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุถึงประเด็นนี้ว่า “มันไม่ไหว ม็อบเด็กแว้นอาชีวะรายวัน รุนแรงขึ้นทุกวัน มันมือ ทุบเผาทำลายทุกครั้ง นี่คือคนรุ่นใหม่ที่อ้างว่าจะเป็นอนาคตของชาติ ม็อบที่คนปั่นไม่ยอมออกมานำ ทิ้งมวลชน ปล่อยให้เด็กใช้ความรุนแรง ไม่รับผิดชอบ เต้นจะสวมรอยเข้ามายึดการนำ ไหวมั้ย เด็กจะฟังหรือ น่าเป็นห่วงว่า คนในชาติถูกปลุกปั่นให้เกลียดชังกัน แตกแยกกัน ใครได้ประโยชน์ นี่คือแบ่งแยกแล้วปกครอง ใครขึ้นมาบริหารประเทศก็เหนื่อย กลไกอะไรก็ไม่รับ อ้างแต่สิทธิ ไม่พูดถึงหน้าที่
สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ จากสังคมที่สงบ สยามเมืองยิ้ม กลายเป็นเมืองที่บ้าคลั่ง มองคนคิดต่างเป็นศัตรู ใครที่พูดแต่สิทธิ ดูการจัดการม็อบของตำรวจอเมริกัน ตะวันตก ทำไมกลุ่มสิทธิเงียบ อย่าพล่ามไปเรื่อย
อย่างไรก็ตามการชุมนุมในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ม็อบ 1 สิงหา , 7 สิงหา , 10 สิงหา ,11 สิงหา , 13 สิงหา และ 15 สิงหานั้น มีการปะทะและเหตุรุนแรงทุกครั้งเรื่อยมา ตั้งแต่มีกลุ่มมวลชนบางพวก เผาทำลายป้อมตำรวจ เผารถควบคุมผู้ต้องหา และสามารถจับตัวได้ 2 ราย มีการทำลายทรัพย์สินราชการ รวมทั้งมีการขนอาวุธเข้ามาในพื้นที่ชุมนุม จึงทำให้บริเวณสามเหลี่ยมแยกดินแดง กลายเป็นจุดปะทะ ที่บางพวกจะไปดักซุ่มรอเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อพร้อมเปิดฉากปะทะ จนกลายเป็นเส้นทางอันตรายที่ต้องเตือนให้ผู้คนหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางทุกครั้งที่มีการชุมนุม