ก่อนการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศจีนว่าด้วยความร่วมมือเอเชียตะวันออกผ่านการประชุมวีดิโอคอนเฟอร์เร้นซ์ กระทรวงการต่างประเทศจีนได้แถลงการณ์ย้ำถึง “การปฏิบัติของลัทธิพหุภาคีที่แท้จริงและการปฏิเสธกลุ่มผูกขาดหรือเกมที่เอาชนะฝ่ายเดียว”ผู้สังเกตการณ์มองว่าเป็นข้อความที่ชัดเจนส่งถึงสหรัฐฯ ท่ามกลางความพยายามที่ยุ่งวุ่นวายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในการต่อต้านจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสร้างการแบ่งแยกในภูมิภาค
วันที่ 2 ส.ค.2564 หวัง อี้ มุขมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เผยแพร่ถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการ ก่อนเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน-จีน การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบวกสาม การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก
คำพูดเน้นถึงประเด็นร้อนในภูมิภาค เช่น การต่อสู้กับโควิด-19 โดยเฉพาะวัคซีน และการส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอื่นๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความร่วมมือในการแก้ปัญหาของกลุ่ม
“ในฐานะประเทศหลักที่มีความรับผิดชอบ จีนจะยังคงแสดงบทบาทของตนต่อไปและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองความต้องการวัคซีนของประเทศในภูมิภาค เราสนับสนุนความพยายามร่วมกัน ในการสร้างศูนย์การผลิตและจัดจำหน่ายวัคซีนระดับภูมิภาค เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีนและความสามารถในการจ่ายได้ในภูมิภาค ”
“เราควรทำงานเพื่อดำเนินการตามข้อตกลง RCEP ในระยะแรก รักษาอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคให้มีเสถียรภาพและปราศจากสิ่งกีดขวาง และส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะเริ่มต้นในทุกประเทศ”
หลี่ ไห่ตง ศาสตราจารย์แห่งสถาบันวิเทศสัมพันธ์แห่งมหาวิทยาลัยการต่างประเทศจีน(Li Haidong, a professor at the Institute of International Relations of China Foreign Affairs University) กล่าวว่า สหรัฐฯ จะส่งรัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโธนี่ บลิงเคน ไปพบกับเจ้าหน้าที่อาเซียนเกือบ 5 วันติดต่อกันในสัปดาห์นี้ แสดงถึงความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างความจริงใจของจีนในการกระชับความร่วมมือกับอาเซียนเพื่อนำไปสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ที่ทำต่อเนื่องมาโดยตลอด และความเจ้าเล่ห์ของสหรัฐฯ ในฐานะประเทศมหาอำนาจ ที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับวาระซ้อนเร้นขับเคลื่อนการต่อต้านจีนอย่างถึงที่สุด หลังจากที่ไม่ใส่ใจในพื้นที่นี้มาหลายปี
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในอาเซียนเสมอไป และบางครั้งก็ส่งเจ้าหน้าที่ระดับรองขึ้นไปที่การประชุมสุดยอดของภูมิภาคนี้ด้วยแต่สัปดาห์นี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เดินทางเยือนอินโดนีเซีย กัมพูชา และไทย เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของรัฐบาลไบเดนที่อดีตให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยกับภูมิภาคที่มีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน ทั้งในเวียดนามและฟิลิปปินส์ในสัปดาห์นี้ และรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส มีกำหนดจะเยือนสิงคโปร์และเวียดนามเช่นกัน
เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยถึงการบริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับภูมิภาคนี้เป็น “ตัวเปลี่ยนเกมในแง่ของการรับรู้ภาพพจน์ใหม่ของสหรัฐฯ” ภายในกลางสัปดาห์หน้า สหรัฐฯ จะบริจาคยาจำนวน 23 ล้านโดสให้กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค โดยที่สังเกตว่าจะไม่มีการส่งยาไปเมียนมาร์
อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้าม เอกอัครราชทูตจีนประจำอาเซียน เติ้ง ซีจุน เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2564 จีนได้จัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19ให้กับประเทศต่างๆมากกว่า 100 ล้านโดส คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 70 ของความช่วยเหลือด้านวัคซีนทั่วโลกในภูมิภาคต่างๆ
หลี่กล่าวว่า นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกมีความชัดเจนมากในการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐเอง และไม่เคยเกี่ยวกับการปกป้องผลประโยชน์ของอาเซียน และทุกอย่างรวมถึงวัคซีนก็สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการผลักดันให้ภูมิภาคนี้ร่วมต้านอิทธิพลจีนด้วย แต่มันจะไม่เป็นไปตามนั้น
การค้าระหว่างจีนและอาเซียนเพิ่มขึ้นกว่า 85% ในรอบสามทศวรรษที่ผ่านมากับอาเซียน ได้กลายเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปี 2020 อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ พยายามเข้าถึงอาเซียน แต่กลุ่มประเทศอาเซียนจะไม่ติดตามสหรัฐฯ อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า และจะไม่ทรยศต่อผลประโยชน์ของประเทศตนที่ร่วมกับจีนในภูมิภาคนี้
ล่าสุดการเข้ามาปักหมุดในทะเลจีนใต้ของพันธมิตรสหรัฐคือเยอรมนี ได้สร้างความตึงเครียดเพิ่มในภูมิภาคนี้ให้คุกรุ่น
เรือรบฟริเกตของเยอรมนีลำหนึ่ง เตรียมล่องเข้าสู่ทะเลจีนใต้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ทศวรรษ ส่วนหนึ่งของภารกิจยาวนาน 6 เดือน ตามคำมั่นสัญญาของเบอร์ลินที่มีต่อพันธมิตรสหรัฐและต่อเสรีภาพแห่งการเดินเรือ
บาเยิร์น(บาวาเรีย) หนึ่งในเรือฟริเกตชั้นบรันเดินบวร์คจากทั้งหมด 4 ลำของเยอรมนี เดินทางออกจากฐานทัพเรือวิลเฮมส์ฮาเฟิน เมื่อวันจันทร์ที่ 2ส.ค.2564 ในพิธีที่มี อันเนเกรต ครัมป์-คาร์เรนบาวเออร์ รัฐมนตรีกลาโหมเข้าร่วมด้วย
ข้อมูลจากกองทัพเรือเยอรมนีระบุว่าเรือรบลำนี้บรรทุกตอร์ปิโดต่อต้านเรือดำน้ำ 46 ลูก ติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านเรือและอาวุธต่อต้านอากาศยาน มันจะใช้เวลาอยู่กลางทะเลเป็นเวลา 6 เดือน ระหว่างนั้นคาดหมายว่าจะล่องเฉียดใกล้จะงอยแอฟริกา ออสเตรเลียและญี่ปุ่น รวมถึงล่องผ่านทะเลจีนใต้ ภูมิภาคที่ความตึงเครียดระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งพุ่งสูง กองทัพเรือระบุว่า”ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตร เยอรมนีต้องการปรากฎตัวมากขึ้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก”
ก่อนหน้านี้กรณีไต้หวัน เป็นอีกประเด็นความตึงเครียดใน ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน ปักกิ่งแสดงความแน่วแน่มากขึ้นเกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ของตนเหนือไต้หวัน สหรัฐได้เพิ่มความกดดันทางทหารบนเกาะแห่งนี้ด้วยการก่อกวน นำเรือรบแล่นผ่านช่องแคบไต้หวันบ่อยครั้ง กรณีนี้ทางกองทัพเรือแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ได้ประกาศพร้อมที่จะตอบสนองต่อภัยคุกคามและการยั่วยุทั้งหมด และจะปกป้องอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนอย่างถึงที่สุด
แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเรือพิฆาตขีปนาวุธนำวิถีชั้น Arleigh Burke ยูเอสเอส เบนโฟลด์ แล่นผ่านช่องแคบไต้หวันเมื่อสัปดาห์ก่อน
กองทัพสหรัฐฯได้ปรากฏตัวในภูมิภาคที่อุดมไปด้วยทรัพยากรแห่งนี้ภายใต้คำกล่าวอ้างที่ว่า เพื่อธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพและปกป้องเสรีภาพของการเดินเรือ และวอชิงตันอ้างว่าพวกเขายืนหยัดอยู่เคียงข้างเหตุผลของพันธมิตรในทะเลจีนใต้ โดย แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เน้นย้ำว่าสหรัฐฯจะอยู่ข้างประเทศอื่นๆที่กำลังถูกจีนข่มขู่บีบบังคับ ซึ่งเป็นวาทกรรมที่สหรัฐใช้มาตลอดเพื่อสร้างความชอบธรรมในการแทรกแซงประเทศอื่นๆทั่วโลก