ปูตินแฉแหลก!!สหรัฐตัวการหนุนรัฐประหารโค่นอดีตปธน.ยานูโควิชแห่งยูเครน!?!ทำปชช.แตกแยก มุ่งต้านรัสเซียไม่พัฒนาประเทศ

1790

ในคอลัมน์ของนิตยสารเยอรมัน ปธน.รัสเซียเขียนบทความแจกแจงว่าวอชิงตันอยู่เบื้องหลังรัฐประหารโค่นอดีตปธน.ยานูโควิชแห่งยูเครนให้ออกจากตำแหน่ง แล้วสถาปนารัฐบาลชุดอุปถัมป์โดยสหรัฐฯ ทำให้ความขัดแย้งและสงครามชายแดนรัสเซียยูเครนยืดเยื้อเป็นโศกนาฎกรรมไม่จบสิ้น ตั้งเป้าต้านรัสเซียโดยขาดความใส่ใจในการพัฒนามิติอื่นๆให้กับประชาชนยูเครนอย่างจริงจัง

ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวว่า การลุกฮือของประชาชนในปี 2014/2557 ที่เห็นอดีตประธานาธิบดียูเครน วิคเตอร์ ยานูโควิช ถูกบังคับลงจากตำแหน่ง เป็นผลมาจาก “รัฐประหาร” ที่สนับสนุนโดยสหรัฐฯ และได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรยุโรปของวอชิงตัน ในขณะที่ปูตินได้ร้องขอความร่วมมือในสหภาพยุโรปต่อรัสเซียให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ปูตินเขียนบทวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์เยอรมัน Die Zeit เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีของการรุกรานสหภาพโซเวียตของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปูตินอธิบายว่าการโค่นล้มยานูโควิชว่าเป็น “การรัฐประหารด้วยกำลังอาวุธต่อต้านรัฐธรรมนูญ”

สหรัฐฯ แทรกแซงและสนับสนุนความรุนแรงในยูเครนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างความตึงเครียดกับรัสเซียเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่ยานูโควิช ผู้นำที่สนับสนุนเครมลิน ถูกขจัดออกไป

หลังการจากไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2014/2557 รัสเซียได้ผนวกดินแดนไครเมียในทะเลดำและให้การสนับสนุนกลุ่มนิยมรัสเซีย เนื่องจากความขัดแย้งทางอาวุธปะทุขึ้นในภาคตะวันออกของยูเครนครั้งแล้วครั้งเล่า

ปูตินเขียนบรรยายถึงพลวัตหลังสงครามเย็น ได้ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องเผชิญกับ “ทางเลือกเทียม” ระหว่างการเลือกข้างสหรัฐฯ-ตะวันตกหรือรัสเซีย ได้หล่อหลอมให้เกิด “โศกนาฏกรรมในยูเครน”อย่างยืดเยื้อไม่จบสิ้น 

ปูตินกล่าวว่า “เหตุใดสหรัฐอเมริกาจึงจัดตั้งการรัฐประหารในประเทศอื่น และทำไมประเทศต่างๆ ในยุโรปจึงสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไข  มันก่อให้เกิดความแตกแยกในยูเครนและ เกิดการถอนตัวของแหลมไครเมียขึ้น”

“ตอนนี้ระบบความปลอดภัยของยุโรปทั้งหมดเสื่อมโทรมลงอย่างมาก ขณะที่ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น และความเสี่ยงของการแข่งขันอาวุธครั้งใหม่กำลังกลายเป็นจริง

ความเห็นของปูตินเกิดขึ้น ภายหลังจากการประชุมสุดยอดที่เจนีวากับปธน.โจ ไบเดน สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทั้งคู่ให้คำมั่นที่จะพยายามวางรากฐานสำหรับข้อตกลงควบคุมอาวุธในอนาคต และส่งคืนเอกอัครราชทูตตามลำดับไปยังตำแหน่งของตน ก่อนการเจรจา ทั้งสองฝ่ายกล่าวว่าความก้าวหน้าครั้งใหญ่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและตะวันตกในช่วงหลังสงครามเย็น

 

แม้สื่อบริวารทั้งหลายจะพยายามสร้างภาพถึง “ความราบรื่นชื่นมื่น”ของมหาอำนาจทั้งสอง แต่ก็ปิดไม่มิดทั้งภาษากาย ภาษาพูด ที่ไม่กลมกลืน เย็นชา ระแวดระวังโดยเฉพาะปธน.ไบเดน สหรัฐฯ เพราะเป็นฝ่ายโจมตีให้ร้ายรัสเซียมาโดยตลอด

ปูตินกล่าวว่าสหรัฐและยุโรปกำลัง “พลาดโอกาสมหาศาลในการสร้างความร่วมมือต่อกันกับรัสเซีย” เนื่องจากความสัมพันธ์ที่เย็นชาไม่จริงใจของพวกเขา

 

ปูตินกล่าวเสริมว่า “ความร่วมมือมีความสำคัญมากในสถานการณ์ตอนนี้ เมื่อเราทุกคนต้องเผชิญกับความท้าทายร่วมกัน ทั้งการระบาดใหญ่และผลที่ตามมาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เลวร้าย ประวัติศาสตร์หลังสงครามทั้งหมด ยืนยันว่าความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของทวีปร่วมกันของเรา จะเป็นจริงได้โดยผ่านความพยายามร่วมมือกันของทุกประเทศเท่านั้น รวมถึงรัสเซียด้วย เพราะความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของรัสเซียและยุโรปต่างไม่อาจแยกจากกัน”

ผู้นำรัสเซียกล่าวว่ามอสโกและเมืองหลวงอื่นๆ ในยุโรปสามารถทำงานร่วมกันในประเด็นสำคัญได้หลายประเด็น เช่น ความปลอดภัย พลังงาน เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม