ทำเพื่อใครกันแน่? ชำแหละ ฝ่ายค้าน เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางที่ประชาชนยังลำบาก ย้อนจุดยืน”ก้าวไกล-สามกีบ” เดินหน้ายกเลิก112

1802

จากกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ด้านกฎหมาย พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ว่าเบื้องต้นวันประชุมร่วมรัฐสภาต้องรอนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นผู้กำหนดวันนัดประชุมอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าคงจะมีการหารือกัน แต่เบื้องต้นน่าจะมีการประชุมในวันที่ 22-23 มิถุนายนนี้ ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ได้มีการยื่นต่อประธานรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา จำนวน 5 ประเด็น 13 มาตรา คิดว่าน่าว่าจะได้รับความเห็นชอบให้ผ่านตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ คือ วาระ 1 ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง

โดยมีเสียงจากทางฝั่งเพื่อไทยยืนยันว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะยื่นแก้ทั้งฉบับตาม ม.256 ที่เคยทำเหมือนเมื่อปีที่แล้ว โดยไม่แตะหมวด 1 และ 2 และการแก้รายมาตรา ส่วนทางด้านนายพิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกล ไม่ร่วมสังฆกรรมกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่จะมีการพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 22 มิ.ย.นี้ ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ต้องนำมาสู่วาระการประชุมเพื่อพิจารณาเป็นอันดับแรก

ล่าสุดนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ถึงประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ ดังนี้ “แก้รัฐธรรมนูญเพื่อใคร”

การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางที่ประชาชนยังลำบาก คำถามที่ต้องถามคือ เขาจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อใคร? การที่จะหาคำตอบ เรามาดูสิ่งที่เขาจะแก้กัน

หลักใหญ่ ๆ จะมีการขับเคลื่อน 2 กลุ่ม

1. กลุ่มการเมืองสามกีบ ที่สอดรับกันทั้งในสภาและนอกสภา กลุ่มนี้ต้องการสั่นคลอนประเทศ ลึก ๆ แล้วอยากแก้ทั้งฉบับ อาศัยการแก้เรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการทำลายองค์อิสระ และศาลรัฐธรรมนูญ

2. พรรคการเมืองในสภา แม้จะมีหลายประเด็นที่เสนอ และยังหาบทสรุปไม่ลงตัว แต่ประเด็นอันตรายต่ออนาคตประเทศ และคนพวกนี้ต้องการคือ ระบบเลือกตั้ง จากบัตร 1 ใบ มาสู่บัตร 2 ใบ

ที่สำคัญ เราต้องไม่ลืมว่า ระบบบัตร 2 ใบ ทั้งรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า เป็นรัฐธรรมนูญ ที่มีการซื้อขายส.ส. และส.ส.จะมีค่าตัวขึ้นมาก นำไปสู่การตั้งมุ้งการเมือง ใช้เงินจำนวนมากในการเลือกตั้ง ประเทศจะติดหล่ม ทุนสามานย์มาครอบงำประเทศผ่านการเลือกตั้ง นายทุนจะมีอำนาจ และเป็นผู้เลือกนายกเพื่อให้ส.ส.โหวต

ขณะที่ระบบบัตรใบเดียว เป็นระบบเลือกส.ส.เพื่อเลือกนายก ประชาชนจะมีอำนาจกึ่งเลือกนายกโดยตรง ซึ่วต่างจากบัตรสองใบ ส.ส.จะมีอำนาจต่อรองลดลงมาก ปัจจัยใช้เงินในการเลือกตั้งจะลดลง ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น เพราะทุกคะแนนจะมีความหมาย คะแนนไม่ถูกตัดทั้ง สามารถทำให้นายทุนพรรคสอบตกยกพรรคได้ พวกนายทุนพรรคจึงไม่ชอบ

สิ่งที่เกิดขึ้น จึงพอคาดเดาได้ว่า สิ่งที่กลุ่มการเมือง และพรรคการเมือง พยายามเร่งให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล้วนแต่ตอบสนองประโยชน์นักการเมืองและนายทุนพรรคทั้งสิ้น ไม่มีประโยชน์ของประชาชนแม้แต่น้อย แต่คนเหล่านี้มักจะชอบอ้างประชาชนตลอด อย่าคิดว่าประชาชนโง่นะ!!!

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี ได้ยื่นหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เพื่อคัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมแนบรายชื่อผู้คัดค้านจำนวนทั้งหมด 101,568 รายชื่อ เนื่องจากเห็นว่ามาตรา 112 ไม่ได้จำกัดเสรีภาพการแสดงออก โดยสืบเนื่องมาจาก ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยื่นเสนอชุดร่างกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน จำนวน 5 ฉบับ รวมถึงร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อประธานรัฐสภา โดยระบุว่า เพื่อไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง พร้อมยืนยัน ยังยึดมั่นและธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับมองตาอย่างมาก ว่าทางด้านฝ่ายค้านจะยื่นแก้รัฐธรรมนูญในรายละเอียดอะไรบ้าง แล้วผลประโยชน์นั้น จะเกิดประโยชน์กับประชาชนมากน้อยเพียงใด