จากกรณีเพจ No Salim Shopping List โพสต์ข้อความถึงกรณีสปอนเซอร์ที่สนับสนุน TOP NEWS โดยระบุข้อความว่า อัปเดตสปอน TOP NEWS ประจำเดือนมิถุนายน พร้อมกับระบุภาพ แบรนด์สินค้าต่างๆนั้น
โดยมีสินค้าชื่อดัง อาทิเช่น โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ , CP เครือเจริญโภคภัณฑ์ , มิซูชิต้า , เครื่องดื่มชูกำลังคอมมานโด เป็นต้นซึ่งก็ตั้งข้อสังเกตได้ว่า ทางเพจดังกล่าว เหมือนเป็นการชี้เป้าให้แนวร่วมสามกีบ เข้ามาแบนสินค้าที่สนับสนุนช่อง TOP NEWS หรือไม่
ก่อนหน้านี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจยิ่ง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 เฟซบุ๊ก Kanok Ratwongsakul Fan Page ของนายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ ได้โพสต์ภาพเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนแบรนด์มิซูชิต้า (MISUSHITA) จำนวนมาก ประกอบด้วยพัดลม หม้อหุงข้าว กระทะไฟฟ้า กระติกน้ำร้อนโดยระบุว่า
“วันนี้มิซูชิต้า โดย เฮียหวัง-สมหวัง อัสราษี ให้กำลังใจครั้งสำคัญแก่พวกเราทุกคน จัดส่งเครื่องใช้ไฟฟ้ามาให้ถึงที่ราว 200 ชิ้น มีทั้งหม้อหุงข้าว หม้อไฟฟ้าอเนกประสงค์ กระติกน้ำร้อน พัดลม ให้ทุกคนจริงๆ คุณป้าแม่บ้าน คุณลุง รปภ. มาเลือกเอาไปเลย ถือว่าเป็นคำอวยพร เป็นของขวัญวันตรุษจีน จากเฮียหวังผู้มีแต่ให้ จากเฮียหวัง ที่ชีวิตนี้มีแค่ 3 สี แดง-ขาว-น้ำเงิน ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เฮียเป็นคนจีน ที่น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเสมอมา”
กระนั้นเมื่อย้อนไปอีกเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 นายสิทธินันท์ อัสราษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงสยามเครื่องดื่ม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง คอมมานโด ออกมาชี้แจงกรณีที่ นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ พรีเซ็นเตอร์ แสดงจุดยืนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า เยาวชนปลดแอก และคณะราษฎร 2563 ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการยุบสภา แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่า ทางบริษัทฯ ถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล และเป็นสิทธิเสรีภาพ ไม่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจแต่อย่างใด ซึ่งทางเจ้าตัวได้ออกมาแถลงอย่างชัดเจนแล้ว
ขณะที่มีรายงานข่าวเปิดเผยว่า นายสิทธินันท์ อัสราษี เป็นบุตรชายของนายสมหวัง อัสราษี ผู้ก่อตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้ามิตซูชิต้า อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ให้การสนับสนุนนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธฺุ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคลื่อนไหวทางการเมืองมาตั้งแต่ปี 2551 และเป็นอดีตผู้ช่วยเลขานุการ รมว.พาณิชย์ (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นอกจากนี้ยังพบว่า นายสมหวัง เคยออกมาเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ว่า “ใครไม่โดนกับตัวเองจะไม่รู้ ว่าหนักแค่ไหนแบบเดียวกับผม ผมอยู่ นปช. มีแต่ใจเกินร้อยกับพี่น้อง แต่หารู้ไม่ว่า ตัวเองกำลังมีชะตากรรมที่ต้องแบกรับแทนคนอื่น สามเกลอ (นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ใช้ผมไปเปิดบัญชี เพื่อรับเงินบริจาค และกิจกรรมอื่นๆ
“โดยที่พวกเขาไม่ยอมใช้ชื่อตัวเองไปเปิดบัญชีรองรับเงิน เพราะเขารู้ว่าจะถูกสรรพากร ประเมินเสียภาษี ทั้งหมดนี้ผมโดนสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากเงินเหล่านี้ เป็นเงิน 572 ล้าน ผมจะเอาที่ไหนไปจ่าย ก็เลยโดนฟ้องล้มละลาย และตอนนี้โดนอายัดทรัพย์ และอายัดบัญชีทั้งหมดเหลือแต่ตัวแล้วครับ แถมเป็นบุคคลล้มละลายด้วย ไม่สามารถทำอะไรได้เลย … นี่คือ สมหวัง อัสราษี ผมมันโง่เอง รักพวกจนไม่คิดถึงชีวิต และอนาคตตัวเอง บทเรียนที่แสนแพงในชีวิต ฉิบหายทั้งตระกูล เพียงเพราะคำว่าเพื่อน”
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวอิศรา ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า นายสมหวัง เป็นเจ้าของธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อมิซูชิต้า ในชื่อ บริษัท สแกนเนอร์ อิเลคทริค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 สิงหาคม 2539 ทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาท ปัจจุบัน 45 ล้านบาท แต่ได้โอนหุ้นให้ นายสราวุทธิ อัสราษี ลูกชายไปหมดแล้ว เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2556 ส่วนการเรียกเก็บภาษีจากกรมสรรพากรนั้น เป็นการเรียกเก็บจากบุคคลธรรมดาที่ค้างชำระภาษี จากการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง (รับเงินบริจาค) ในอดีต มิได้เกี่ยวข้องกับบริษัท มิซูชิต้า แต่อย่างใด