นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ปฏิเสธข่าวการปูทางสนับสนุน บุตรชายคนโตให้รับเก้าอี้ผู้นำกัมพูชาต่อจากตน แม้ว่าได้ประกาศเจตนารมณ์ จะเป็นรัฐบาลปกครองกัมพูชาต่อไปอีก 100 ปีข้างหน้าก็ตาม ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่ายังมีอุปสรรคในการผลักดันการสืบทอดอำนาจอยู่มาก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก และการระบาดโควิด-19
การประกาศเจตนารมย์ของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน แห่งกัมพูชา ว่าจะปกครองประเทศในฐานะพรรครัฐบาลต่อไปอีก 100 ปีข้างหน้า ทำให้เกิดคำถาาว่าใครจะเข้ามารับช่วงอำนาจต่อกันแน่ และผู้ที่ถูกจับตาอย่างมาก คือ พลโทฮุน มาเน็ต บุตรชายของนายกฯ ฮุน เซน
ล่าสุด ฮุน เซน ในฐานะผู้นำกัมพูชาที่ครองอำนาจมายาวนานที่สุด ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าจะผลักดันให้พลโท ฮุน มาเน็ต สืบทอดอำนาจต่อจากเขา พร้อมบอกว่าตอนนี้มีตัวเลือกที่น่าสนใจอีกหลายต่อหลายคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนต่อไปได้ โดยย้ำว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการยอมรับจากภายในพรรค และเสียงของประชาชน และสิ่งที่ทำได้คือจะสนับสนุนให้พลโท ฮุน มาเน็ต ปลดล็อคศักยภาพสูงสุดของตัวเองเท่านั้น
พลโทฮุน มาเน็ต ในวัย 42 ปี จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ ของสหรัฐฯ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก และดำรงตำแหน่งระดับสูงในกองทัพกัมพูชาอีกหลายตำแหน่ง ส่วนในสายการเมืองพลโท ฮุน มาเน็ต เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกลุ่มยุวชนของพรรค CPP และอยู่ในคณะผู้แทนประสานงานกับจีนด้วย ในมุมมองของนักวิเคราะห์การเมือง เห็นว่าการก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ ยังต้องผ่านอีกหลายด่าน เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นในการปกครองกัมพูชาแบบพรรคเดียวต่อไป ความเป็นไปได้ที่พลโท ฮุน มาเน็ต จะสืบต่ออำนาจจากนายฮุน เซน เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยด้านสุขภาพของนายฮุน เซน และประเด็นความภักดีของกองทัพ เพราะในบริบทการเมืองตอนนี้ ภัยคุกคามอย่างเดียวที่ต้องระวัง คือ บุคคลที่รายล้อมรอบตัวฮุน เซน เสียมากกว่า และกรีนวู้ด ได้ตั้งคำถามต่อไปว่า การหยิบยกประเด็นการสืบทอดอำนาจขึ้นมาตอนนี้ อาจเป็นคำเตือนให้กับกองทัพกัมพูชาให้จงรักภักดีต่อรัฐบาลปัจจุบันและบุตรชายของเขาอีกทางหนึ่งหรือไม่
ด้านคาร์ล เทเยอร์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัย University of New South Wales กล่าวว่า การ กรุยทางการเมืองให้บุตรชายด้วยการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญต่างๆให้ แต่ไม่พูดถึงวิสัยทัศน์ต่องานด้านต่างๆที่รับผิดชอบต่อสาธารณชน นั่นเท่ากับว่าฮุนเซน กำลังกำจัดเสี้ยนหนามทางการเมือง เพื่อผลักดันให้ลูกชายสืบทอดอำนาจต่ออย่างชัดเจน เพราะตั้งแต่นาทีแรกที่ฮุนเซน กล่าวว่า นี่คือคนที่เขาแต่งตั้ง จะสร้างแรงกดดันและต่อต้านจากฝ่ายไม่สนับสนุนที่จะหาทางปิดกั้นเส้นทางการเมืองของบุตรชายได้ ดังนั้น การเลือกที่จะปล่อยให้ทุกฝ่ายเดาทางกันไปน่าจะดีกว่า
ศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2018 ฮุน เซน นำพรรค CPP ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย กวาดที่นั้ง 125 ที่นั่งในสภาล่างกัมพูชา ท่ามกลางความกังขาของนักเคลื่อนไหวถึงความโปร่งใสในการเลือกตั้ง ก่อนการเลือกตั้งเมื่อ 2 ปีก่อน ฮุน เซน กล่าวว่าตนจะปกครองกัมพูชาต่อไปอีก 10 ปี จนถึงอายุ 75 ปี และมีแนวทางเอนเอียงมาทางจีนมากกว่าฝั่งตะวันตก ซึ่งนักวิเคราะห์การเมืองต่างเห็นตรงกันว่า การเปลี่ยนผ่านอำนาจที่ทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพทางการเมืองหรือกระทบต่อความสัมพันธ์กับจีนจะเป็นสิ่งที่จีนกังวล แต่กว่าจะถึงเวลานั้น ฮุน เซน จะเป็นผู้กำหนดชะตาของผู้ที่จะมาสืบทอดอำนาจต่อจากเขา ซึ่งแน่นอนต้องส่งไม้ต่อให้กับบุตรชายทั้งสองของเขาที่มีบทบาทในกองทัพอย่างสูงในปัจจุบันนี้
………………………………………….
Cr: asiatimes