ม้ามืดชิงตำแหน่ง “ผอ.ไทยพีบีเอส” แฉยับ ถูกตัดสิทธิ์กลางอากาศ แถมดัน “ผอ.คนเก่า” แข่งกับ “ผอ.สะพานปลา”

6103

กลิ่นแปลกๆ!? ม้ามืดชิงตำแหน่ง “ผอ.ไทยพีบีเอส” แฉยับ ถูกตัดสิทธิ์กลางอากาศ แถมดัน “ผอ.คนเก่า” แข่งกับ “ผอ.สะพานปลา”

เมื่อวันที่ 10 พ.ค.64 ที่ผ่านมา ทางด้านของ “นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที” ผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเพื่อดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส ได้ยื่นหนังสือ ถึงทางด้านของ “นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี” ซึ่งเป็นผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ของคณะกรรมการสรรหา เพื่อสอบถามถึงเหตุผล ที่ไม่ให้ผู้สมัครทั้ง 5 ราย แสดงวิสัยทัศน์ กลับตัดทิ้งจนเหลือแค่ 2 คน

โดยหนึ่งในนั้นคือ “รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล” อดีต ผอ.ไทยพีบีเอส และคู่แข่งคือ “ผศ.ดร.มานพ กาญจนบุรางกูร” ซึ่งเป็นอดีต ผอ.องค์การสะพานปลา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการแข่งที่ไม่ยุติธรรม หรือ มวยคนละรุ่นเลยก็ว่าได้ เหมือนกับว่าจะการที่จะดัน รศ.ดร.วิลาสินี หรือ อดีต ผอ.ไทยพีบีเอส เข้ามารับตำแหน่งแบบไม่ต้องมีคู่แข่ง

ทั้งนี้ทางด้านของ นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ได้ระบุรายละเอียด ร้องสอบถามความโปร่งใส่ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

อันเนื่องมาจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นองค์กรสื่อมวลชนชั้นนำของสังคมไทย และดำเนินนโยบายโดยใช้งบประมาณภาษีพิเศษของประเทศชาติ ถือเป็นองค์กรสื่อมวลชนที่สำคัญของสาธารณะ เป็นผู้นำทางสติปัญญาของสังคม มุ่งส่งเสริมสิทธิและโอกาสของผู้คนในสังคมอย่างกว้างขวาง ผู้สมัครทั้ง 5 ท่านคงมีความภูมิใจไม่น้อยที่ได้มีโอกาสไปสมัคร เพื่อให้คณะกรรมการสรรหาได้มีโอกาสทำหน้าที่คัดสรร เลือกสรร สอบถามวิสัยทัศน์อย่างเต็มกำลัง ในสมัครครั้งแรกก็มาสมัครกันน้อย จนต้องมีการขยายเวลาให้มีผู้สมัครมากขึ้น เพื่อให้องค์กรไทยพีบีเอสได้มีโอกาสแสวงหาคัดสรรทรัพยากรบุคคลเข้าไปทำหน้าที่ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ได้ทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ สร้างสรรค์สติปัญญาและข้อมูลข่าวสาร ให้เป็นที่ยอมรับของสังคมไทย

ผมเองในฐานะผู้สมัครคนหนึ่งซึ่งทำงานในวิชาชีพด้านสื่อมวลชน รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เข้าสู่การสรรหา เมื่อมีโอกาสได้เสนอตัวไปสมัครเป็นผู้บริหารให้กับองค์กรสำคัญด้านสื่อของสังคมไทย มีความเห็นว่า มีความจำเป็นอยู่เอง ที่คณะกรรมการสรรหาจะสร้างโอกาสที่เปิดกว้างให้แก่กรรมการนโยบายซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง ได้รับฟังวิสัยทัศน์ สอบซักถามวิสัยทัศน์ผู้สมัคร ซึ่งมีกันเพียงแค่ห้าคนเท่านั้นเอง ให้ได้มีโอกาสร่วมสอบถามวิสัยทัศน์ ประสบการณ์ความรู้ความสามารถ ตรวจสอบคัดสรรผู้สมัครอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ มีบรรยากาศการซักถาม แสดงความภูมิความรู้ ปฏิภาณวิสัยทัศน์ขององค์กรสื่อสาธารณะ เพื่อเปิดโอกาสให้คณะกรรมการนโยบายได้เข้าถึงตัวบุคคลที่มีกันเพียงแค่ห้าท่าน ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ ร่วมซักถาม ร่วมกับคณะกรรมการสรรหา และอาจจะเชิญผู้บริหารบรรณาธิการหัวหน้าส่วนงานร่วมรับฟัง อาจจะไม่มีโอกาสให้คะแนน แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมการรับรู้การมีส่วนร่วมเพื่อหลอมรวมช่องว่างในการทำงานเพื่อบ้านเมืองและสาธารณะ

จึงเรียนสอบถามและปรึกษาหารือมายังประธานคณะกรรมการสรรหาฯ ว่า

– ในการเชิญผู้สมัครไปแสดงวิสัยทัศน์เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ในการพิจารณามีกรอบกฏเกณฑ์การให้คะแนนต่อผู้สมัครอย่างไรบ้าง? มีรายละเอียดเกณฑ์การพิจารณาความรู้ความสามารถของแต่ละท่านให้คะแนนแก่ผู้สมัครกันอย่างไร?

– ขอทราบเหตุผลเมื่อมีผู้สมัครเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น ทำไมไม่เปิดโอกาสให้ผู้สมัครซึ่งมีกันน้อย ให้กรรมการนโยบายได้เข้าร่วมรับฟังซักถามมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงในระดับนโยบายขององค์กรได้เข้าถึงโอกาสแห่งการเลือกสรร สอบวิสัยทัศน์ สักถามแสวงหาทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ

– ทราบว่าคณะกรรมการสรรหามากันไม่ครบ ประธานคณะกรรมการสรรหาได้ใช้ระเบียบอำนาจสรรหามีรายละเอียดอย่างไร และครบองค์ประกอบตาม พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยหรือไม่? ในการทำหน้าที่

ผมเองในฐานะผู้สมัครคนหนึ่ง รู้สึกเป็นเกียรติที่มีโอกาสแสดงตัวเข้าสู่การสมัคร เพื่อให้องค์กรสาธารณะ หรือหน่วยงานราชการของสังคม ได้มีโอกาสเฟ้นหาทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีความมุ่งมั่น อุทิศตัวทำงานให้บ้านเมืองและหน่วยงานราชการ ผมเองมีประสบการณ์ในการได้รับเชิญให้เข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในหลายองค์กร รวมทั้งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีประธานศาลฏีกาเป็นประธานคณะสรรหามีผู้สมัครมากถึง 80 คน ผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์และมีใจมุ่งมั่นทำงานให้สาธารณะ ได้รับเกียรติถูกซักถามสอบถามวิสัยทัศน์ทั้ง 80 คนอย่างเต็มที่ โดยคณะกรรมการสรรหาแม้จะเหน็ดเหนื่อย ทั้งผู้สมัครและกรรมการสรรหาต่างก็เสียสละทุ่มเท “สร้างวัฒนธรรมของการคัดสรรบุคคลากรให้กับองค์กรสาธารณะของประเทศชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ”

ผมเองในฐานะผู้สมัครคนหนึ่งที่พอมีความรู้ความสามารถในการทำงานด้านสื่อมา 30 ปี เชื่อว่า ผู้มาสมัครผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ทั้ง 5 ท่าน เป็นคนมีความรู้ความสามารถเต็มเปี่ยม และผมเองเชื่อว่าเป็นผู้สมัครคนหนึ่งที่น่าจะได้คะแนนน้อยที่สุด แต่ก็อยากจะเรียนปรึกษาหารือมายังประธานกรรมการสรรหาว่า จะทำอย่างไรให้ผู้สมัครผู้ที่มีความตั้งใจทำงานให้กับองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย คนที่ 3 หรือคนที่ 4 ควรเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงวิสัยทัศน์ ได้รับเกียรติแห่งสิทธิของการเข้าร่วมการเลือกสรรที่ดี ให้คนที่ได้คะแนนที่ 3 หรือที่ 4 ได้มีโอกาสให้กรรมการนโยบายซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของ ส.ส.ท. ได้เข้าถึงการแสวงหาบุคคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ มีความชัดเจน โปร่งใส

จึงเรียนปรึกษาหารือและสอบถามหลักเกณฑ์ต่างๆ มายังประธานกรรมการสรรหา ได้โปรดชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร อันจะเป็นการสร้างความโปร่งใส และก่อให้เกิดประโยชน์ กับองค์กรสื่อมวลชนสาธารณะที่สำคัญของสังคมไทย