หลังยุคสงครามเย็นโลกกลับเข้าสู่ยุคที่มีเสถียรภาพ หรือโลกาภิวัฒน์ ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา เชื่อมโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน ภายใต้มหาอำนาจหนึ่งเดียวคือสหรัฐ ใครจะไปคาดว่าวันหนึ่งระเทศที่ประชาชนยากจนแร้นแค้น มีความล้าหลังทางเทคโนโลยีอย่างจีน กลับกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดของสหรัฐฯ ต้นเหตุสงครามการค้าที่เกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากความกลัวของสหรัฐที่มีต่อจีนในเรื่องนี้ เพราะใครครองเทคโนโลยีคนนั้นครองโลก
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทำให้ โลกไม่ต้องสยบยอมมหาอำนาจสหรัฐเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว เพราะผู้นำโลกนวัตกรรมล้ำยุคปัจจุบันนี้คือประเทศจีน ไม่เพียงทางด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมล้ำยุค ทางด้านกายภาพอเมริกายังล้าหลังจีนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานมาก แม้จะทุ่มเทเงิน 2 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาก็ยังตามจีนไม่ทันอยู่ดี
ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา องค์กรต่าง ๆ ในประเทศจีนมีการจดสิทธิบัตร (patent) ด้านปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (artificial intelligence — AI) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉลี่ยมากกว่า 20% ต่อปี เมื่อเทียบกับประเทศที่จดสิทธิบัตรทางด้านเอไอมากสุดในโลกก็จะพบว่าสหรัฐอเมริกากับจีนอยู่ในระดับ top 5 แสดงให้เห็นว่าทั้งสองประเทศมีความมุ่งมั่นและให้ความสนใจกับการวิจัยและพัฒนาเอไออย่างมาก ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจหลักในการสร้างศักยภาพของประเทศสู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก
จากงานสำรวจของ Accenture กับประเทศที่พัฒนาแล้ว 12 ประเทศ คาดการณ์ว่าภายในปี ค.ศ. 2035 เอไอจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และจากผลสำรวจของ PwC ก็คาดการณ์ว่าภายในปี ค.ศ. 2030 จีดีพีโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 14% หรือประมาณ 15.7 ล้านล้านดอลลาห์สหรัฐ โดยทั้งสองรายงานเห็นพ้องตรงกันว่าเอไอจะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มีการนำมาทำ automation หรือการนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีมาทำงานแทนมนุษย์ เพื่อเพิ่มผลผลิตของงานและเกิดความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากโรงงานต่างๆ การขนส่ง และขยายไปในอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งในอนาคตโอกาสของการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มจะนำมาซึ่งข้อมูลมหาศาล
ส่วนสหรัฐอเมริกาก็เริ่มกังวลกับความล้าหลังในการพัฒนาเอไอเมื่อเทียบกับจีน โดยในรายงานของคณะกรรมการความมั่นคงด้านเอไอระบุว่า งบประมาณด้านวิจัยที่ลดลงทำให้เกิด “สมองไหล” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยย้ายไปทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้เกิดความขาดแคลนบุคลากรและงบประมาณในการทำวิจัย ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาลดความสามารถในการเป็นผู้นำด้านเอไอ ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางด้านความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากมีเทคโนโลยีเอไอที่มีศักยภาพลดน้อยลง
ปัจจุบันสิ่งที่นักวิจัยเป็นกังวลครอบคลุมตั้งแต่การใช้เอไอกับการสอดส่องดูแลความปลอดภัย (surveillance) ข้อมูลที่มีอคติ (data bias) การที่เจ้าของเทคโนโลยีมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของประชาชนเปรี ยบเสมือนใช้ข้อมูลในสร้างอาณานิคมทาง (data colonism) โดยที่ประเทศนั้นๆ ไม่ได้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของประชาชน วิกฤติอากาศ (climate crisis) ที่เกิดจากใช้ data center
นั่นพิสูจน์ว่าศตวรรษแห่งความหยิ่งผยองของจักรวรรดินิยมอเมริกากำลังจบลงแล้ว ตลอดหลายทศวรรษ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาเติบโตแข็งแรงมากกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งในหมู่พันธมิตรสงครามที่เป็นฝ่ายชนะ และฝ่ายตรงข้ามที่พ่ายแพ้ล้วนเสียหายจากการทำสงครามรบราฆ่าฟันทำลายล้างอย่างสาหัส มีแต่สหรัฐที่กระทบน้อยที่สุดเพราะไม่ได้เป็นพื้นที่สมรภูมิสงคราม เวลาผ่านไปทุกอย่างไม่เหมือนเดิม
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว สถานีอวกาศของอเมริกากันไม่ให้จีนเข้าร่วม และแล้วจีนผุดสถานีอวกาศเทียนกงเป็นสถานีอวกาศต้นแบบแห่งแรกของจีน ส่งขึ้นไปโคจรรอบโลกตั้งแต่เดือนก.ย. 2554 ถึงเดือนเม.ย.2561 ใช้เป็นห้องปฏิบัติการมีคนประจำและเป็นแท่นทดสอบเพื่อสาธิตสมรรถนะนัดพบและเทียบท่าในวงโคจร
40 ปีก่อน ที่อเมริกาคอมพิวเตอร์พิมพ์อักษรจีนไม่ได้และแล้ว จีนก็เกิดหวางเซวียน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ และพัฒนามาถึงคอมพิวเตอร์ควอนตัมล้ำสหรัฐไปอีกหลายก้าว มาในวันนี้ อเมริกาโจมตีอินเทอร์เน็ต 5จี ของจีนพยายามเตะตัดขาหัวเหว่ย แต่จีนไม่ได้มีแค่หัวเหว่ย จะว่าไปแล้วก็คืออเมริกาอิจฉาตาร้อน และหวั่นวิตกว่าศักยภาพของจีนพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ล้วนแต่ทำให้จีนยิ่งใหญ่มากขึ้น จุดประทุให้นวตกรรมจีนยิ่งล้ำหน้า ยิ่งมีความสามารถรับผิดชอบและแก้ปัญหา ยิ่งเป็นความหวังของโลกมากกว่าอเมริกา
ย้อนขึ้นไปอีก 50 ปีที่แล้วอเมริกาบอกว่าคนจีนซึ่งมีประชากรมากที่สุด จะเกิดขาดแคลนอาหารไม่พอหล่อเลี้ยงประชาชน และต้องขออาหารจากประเทศทั่วโลก และแล้ว จีนก็เกิดมีบุรุษชื่อ ศาสตราจารย์หยวน หลงผิง “บิดาแห่งข้าวไฮบริด” บุคคลเกียรติยศแห่งชาติจีน เป็นนักวิจัยฯ ผู้อุทิศตนใหักับงานคิดค้นพัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักในปัจจุบันของชาวจีนกว่าร้อยละ 65
ถอยไปอีก 60 ปีก่อน อเมริกาบอกว่าจีนไม่มีทางสร้างเรือดำน้ำนิวเคลียร์ได้และแล้วก็เกิดบุรุษชื่อ ฮ๋วางซวีฮ๋วา หรือฮวง ซูหัว นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นเรือดำน้ำนิวเคลียร์ลำแรกของจีน ซึ่งคำนวนด้วยลูกคิดจีน
70ปีก่อนอเมริกาบอกว่า จีนไม่มีทางสร้างระเบิดปรมาณูและระเบิดไฮโดรเจน และแล้ว จีนก็เกิดมีบุรุษชื่อ เติ้งเจียเซียน ผู้คิดค้นอาวุธนิวเคลียร์ เป็น นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ชาวจีน และนักวิชาการของ Chinese Academy of Sciences (CAS) เขาเป็นผู้นำและเป็นผู้สนับสนุนหลักในโครงการ อาวุธนิวเคลียร์ ของจีน
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความเจริญเติบโตก้าวกระโดดของจึนได้ลบล้างคำสพประมาทที่จักวรรดินิยมอเมริกามีต่อจีนอย่างสิ้นเชิง ในอดีตเมื่อวันวานคนจีนอยากเป็นอย่างอเมริกา แต่วันนี้คนทั่วโลกอยากเป็นหมือนจีน ที่เข้มแข็ง ก้าวหน้าและปลอดภัย แม้ยามเกิดมหาภัยพิบัติโรคโควิด-19 ระบาดใหญ่ จีนก็เอาจริงและสามารถควบคุมแก้ปัญหาได้อย่างเฉียบขาดและมีประสิทธิภาพ
ปัญหาวุ่นวายทั่วโลกในขณะนี้เกิดขึ้นเพราะสหรัฐอเมริกาไม่อาจยอมรับความจริงว่า “อเมริกาไม่ใช่ผู้นำโลกอีกต่อไป”!!