การสู้รบยังไม่จบสิ้นในแผ่นดินพม่า กองกำลังกะเหรี่ยงยึดฐานที่มั่นทหารพม่าใกล้ไทย เกิดการสู้รบอย่างหนัก ตามแนวชายแดนทางตะวันออกของเมียนมาซึ่งติดกับไทย โดยกองกำลังกะเหรี่ยงประกาศการยึดฐานที่มั่นของรัฐบาลทหารยึดอาวุธเพียบ
Fighting that erupted at a Myanmar army outpost near the Thai border today. The Karen National Union (KNU) said it had captured the position https://t.co/HfMhJhSERE video from @Reuters #WhatsHappeningInMyanmar pic.twitter.com/Nrbjn80FZY
— Matthew Tostevin (@TostevinM) April 27, 2021
เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ว่าสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ( เคเอ็นยู ) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เก่าแก่ที่สุดของเมียนมา ประกาศการยึดฐานประจำการแห่งหนึ่งของกองทัพเมียนมา ตั้งอยู่ริมชายฝั่งแม่น้ำสาละวิน ตามแนวชายแดนทางตะวันออกสุดของประเทศ ซึ่งติดกับพรมแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของไทย
ทั้งนี้ การสู้รบเกิดขึ้นเมื่อช่วงรุ่งสางของวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น โดยหลังจากยึดครองพื้นที่บริเวณนั้นได้แล้ว กองพลของเคเอ็นยูได้เผาทำลายค่ายของทหารเมียนมา ตอนนี้กำลังทำการสำรวจพื้นที่ พร้อมทั้งตรวจสอบเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ ยังมีการสู้รับเกิดขึ้นในบริเวณอื่นอีก แต่เคเอ็นยูยังปฏิเสธให้ข้อมูลเพิ่มเติม
ด้านแหล่งข่าวของรัฐบาลไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เผยว่ามีชาวไทยอย่างน้อยคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบครั้งนี้ ขณะที่กองทัพเมียนมายังปฏิเสธให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับสถานการณ์ตามรายงานของเคเอ็นยู ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลัง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา เข้าร่วมการประชุมวาระพิเศษของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) ที่กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 24 เม.ย.2564
ในการประชุมสุดยอดอาเซียน มิน อ่อง หล่ายได้แจงที่ประชุมถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นฝ่ายต่อต้านเป็นฝ่ายริเริ่ม จะพยามแก้ปัญหาให้ดีที่สุด ขณะที่ทางการทูตขับเคลื่อนกันไป การรบในพื้นที่ยังไม่หยุด และล่าสุดทางการพม่าได้ประกาศห้ามนำเข้าสินค้า 5 ชนิดทางด่านการค้าทางบก ให้นำเข้าทางเรือแทน อ้างแก้ปัญหาขาดดุลการค้าไทย ทำให้กระทรวงพาณิชย์เก้าอี้ร้อนเร่งเจรจา
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีเมียนมาเตรียมงดการนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มชั่วคราวจากไทย ว่า ได้รับรายงานจากทูตพาณิชย์ประจำเมียนมาว่าในวันที่ 1 พ.ค.64 อาจจะมีคำสั่งเรื่องสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่ม ที่เมียนมาอาจระงับไม่ให้นำเข้าผ่านด่านทางบก แต่ให้ส่งออกผ่านด่านทางเรือ ซึ่งตนได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการค้าต่างประเทศ เร่งดำเนินการเจรจา โดยจะมีการนัดหารือกับอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศของเมียนมา เพื่อถามถึงสาเหตุและหนทางในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
“สินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มนั้น ประเทศไทยส่งออกไปยังเมียนมา ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท เมื่อมีการหารือกันแล้วจะแจ้งข้อเท็จจริงรวมทั้งความคืบหน้าในการหาทางออกร่วมกันต่อไป”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทุกอย่างดำเนินการไปได้ด้วยดี ตัวเลขการค้าใช้ชายแดนไทยกับเมียนมายังเดินหน้าต่อได้ แต่เรื่องนี้เป็นกรณีเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่ม เช่น เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และนมเปรี้ยว เป็นต้น ซึ่งอาจกระทบทำให้ผู้ประกอบการต้องไปส่งทางเรือทำให้มีต้นทุนการขนส่งมากขึ้นแทนที่ไปส่งทางบก ที่ผ่านมาเราส่งผ่านด่านใหญ่ 3 ด่าน คือ 1.แม่สอด 2.แม่สาย 3.ระนอง
ในขณะที่”เอ็กซิมแบงก์”ช่วยเอสเอ็มอีในเมียนมาพักหนี้-ให้กู้ดอกต่ำวงเงิน 20 ล้านบาท พร้อมพักหนี้ลูกค้าในเมียนมายาว 1 ปี
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออก 2 มาตรการเยียวยาเอสเอ็มอีไทยที่ทำธุรกิจในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบภายในเมียนมา โดยมาตรการแรกเป็นสินเชื่อ ซีแอลเอ็มวี อุ่นใจ ให้เงินทุนหมุนเวียนสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ยพิเศษ 3.99% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 3 ปี
ทั้งนี้ ใช้เพียงหนังสือค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันร่วมกับบุคคลหรือนิติบุคคลค้ำประกันได้ โดยยื่นขอสินเชื่อได้ถึง 30 พ.ย.64 ทั้งผ่านสาขาและออนไลน์ ส่วนอีกมาตรการเป็นการเยียวยาธุรกิจไทยในเมียนมา โดยสามารถพักชำระหนี้เงินต้นกรณีวงเงินกู้ระยะยาวสูงสุด 12 เดือน ต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงินรวมสูงสุดไม่เกิน 180 วัน โดยแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ภายใน 30 ก.ย.64