จากกรณีที่นายเดวิด สเตร็คฟัสส์ นักวิชาการสหรัฐฯ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ The Isaan Record และอดีตผู้อำนวยการโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา CIEE ได้ถูกทางการระงับวีซ่า แม้อยู่ไทยมานานกว่า 35 ปี มีผลสิ้นสุดทันที
โดยได้รับแจ้งยกเลิกการจ้างงานโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลให้วีซ่าสิ้นสุดลงในวันที่ 18 มีนาคมนี้ ชี้เหตุผล ถูกกดดันจากตำรวจ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งนายเดวิด รับเงินจาก NED และแท้ศิษย์รัก ส.ศิวรักษ์ เป็นผู้ผลักดัน “ไผ่ ดาวดิน” เข้าสู่วงการการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ทั้งนี้พบว่า นายเดวิด เป็นคนก่อตั้ง อีสานเร็คคอร์ต ร่วมกับภรรยาชาวไทย ที่เป็น บ.ก .ของ isaan record ซึ่งก่อนหน้านี้ภรรยาได้เคยทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งต่อมาทางด้าน รศ. วิลาสินี พิพิธกุล ผอ.ไทยพีบีเอส ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าว ผ่านนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โดยบอกว่า ภรรยาของนายเดวิด ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับไทยพีบีเอสแล้ว ภรรยาของนายเดวิด ยังเคยได้รับรางวัลสื่อมวลชนเพื่อสิทธิมนุษยชนจากองค์กร Amnesty International เมื่อปี 2562 ด้วย
ต่อมาทางด้าน หทัยรัตน์ พหลทัพ ภรรยาของนายเดวิด ได้โพสต์ข้อความล่าสุด ว่า มีผู้หวังดีบอกว่า ถ้าอยู่ประเทศไทยแล้วทรมานก็ไปอยู่ที่อื่น แต่บอกไว้เลยว่า จะทนอยู่จนกว่าบ้านเมืองจะดีขึ้น #ทนอยู่หรืออยู่ทน
หลังจากที่ประเด็นดังกล่าว ได้รับการเผยแพร่ ทำให้มีการตั้งคำถาม ถึงการเคลื่อนไหวทางข่าวสาร และการนำเสนอสื่อของไทยพีบีเอส ในช่วงที่มีม็อบ 3 นิ้วเกิดขึ้น ว่าเป็นองค์การที่ค่อนข้างชัดเจนว่า แนวทางของผู้บริหารเชียร์ม็อบ และมักจะโปรดคนที่มีแนวคิดต่อต้านม.112 อย่างเช่น ตอนที่นายสมเกียรติ จันทรสีมา ผอ.สำนักเครือข่ายสื่อสาธารณะ TPBS ออกมาต้อนรับ “ไผ่ ดาวดิน” และเปิดใจว่าพร้อมรับฟัง สนับสนุนออกแสดงออกแบบเสรีภาพ
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า จุดประสงค์ของม็อบนี้คืออะไร เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย และประวัติการทำงานของผอ.คนนี้ เป็นอดีตลูกหม้อของประชาไท ที่มีแนวคิดชัดเจน และมีจุดยืนข้างม็อบ 3 นิ้ว
และมีข้อมูลระบุอีกด้วยว่า บก.บีบีซีประเทศไทย ที่ชอบนำเสนอประวัติในหลวงร.10 ในแง่ลบ ตั้งแต่ปลายปี 59-60 นั้น ก็เป็นคนโปรดของไทยพีบีเอส เพราะมีการนำเสนอข่าวของบก. และเนื้อหาในบีบีซีอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่การนำเสนอของบีบีซี ภายใต้ชื่อของ “นายนพพร วงศ์อนันต์ ” บรรณาธิการ มีแนวคิดล้มสถาบันอย่างโจ่งแจ้ง ชัดเจน ดังที่ เฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี ได้เขียนบรรยายไว้ตั้งแต่ปี 2559 ที่ระบุบางช่วง บางตอนไว้ดังนี้ว่า
“บก.บีบีซีไทย กับ การต่อต้านกฎหมายคุ้มครองสถาบันฯ
ปราชญ์ สามสี เขียนเมื่อ ๐๓ ธันวาคม ๒๕๕๙
ภายหลังวัน กราบบังคมทูลอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้เพียง ๑ วัน
ก็ดูเหมือน “คลื่นใต้น้ำ” ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ จะพยายาม”ยั่วยุ”ประชาชนชาวไทย ในช่วงเวลาสำคัญอีกแล้ว
ล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศ อย่าง BBC ไทย เริ่มเผยตัวออกมามากแล้วโดยเฉพาะการพยายาม สนับสนุน การใส่ร้ายสถาบัน อย่างแจ่มชัด และเห็นได้ชัดแจ้งว่ามีการพยายาม “เสี้ยม”ประชาชน อย่างชัดเจน … จนกลายเป็นว่า BBC ไทย กลายเป็นประเด็นสังคมที่”ร้อนฉ่า” เพราะผู้คนต่างวิพากวิจารณ์กันพอสมควร กับท่าทีของBBCไทย ที่”หยาบ”ได้โล่
ข้าพเจ้าจึงสนใจมากว่า การที่ “บทความ” ที่เรียกได้ว่า”ปองร้าย สถาบันฯ” จำนวนนึง ที่เผยแพร่อยู่ในปัจจุบันฯนี้ ผ่านการอนุมัติจาก บรรณาธิการ BBC ไทย ออกมามาได้อย่างไร? เรื่องนี้ นาย นพพร วงศ์อนันต์ บรรณาธิการ BBC ไทย ควรออกมารับผิดชอบ ต่อบทความที่เข้าข่ายดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์นะครับ”
นอกจากนี้ไทยพีบีเอส ยังถูกสังคมตั้งคำถามมาแล้วด้วยว่า การเป็นสื่อสาธารณะ ที่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจในแต่ละปี ซึ่งปี 2563 ได้งบประมาณราว ๆ 2 พันล้านบาท ทั้งนี้รายได้มาจากการจัดเก็บภาษีบาป คือ สุราและยาสูบของกรมสรรพสามิต ในขณะที่หลาย ๆ สื่อ ต่างมีข่าวปลดพนักงาน เกิดวิกฤตปั่นป่วนวงการสื่อ แต่ไทยพีบีเอสไม่ได้เดือดร้อนอะไร เนื่องจากมีงบประมาณที่นำมาบริหารได้ต่อเนื่อง แม้ทางไทยพีบีเอสจะบอกว่า องค์การของตนเอง สามารถทำงานอย่างเสรีภาพ ทำให้องค์การเชื่อมกับประชาชนได้มากที่สุด และเป็นสื่อที่ต้องคำนึงถึงความสุขประชาชน แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของม็อบ 3 นิ้ว ที่มีการยกเลิกม.112 รวมอยู่ในข้อเรียกร้องนั้น เช่นนี้แล้วจึงอาจจะกล่าวได้ด้วยว่า ไทยพีบีเอสไม่ได้นำเสนอข่าวดีกว่าช่องอื่น ๆ แถมมีส่วนรับเงินจากรัฐ แต่ทำตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐ และยังกล้าที่จะสนับสนุนให้ท้ายส่งเสริมคนที่ทำกิจกรรมล้มล้างสถาบันอย่างชัดเจนอีกด้วย