มาถึงวันนี้แล้ว แกนนำม็อบราษฎร ก็คงรับรู้ถึงชะตาแล้วว่า ต้องชดใช้กรรมจากการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน โดยต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุกกันคนละหลายปีแน่นอนเมื่อศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง เพราะแต่ละรายนั้นก่อความผิดซ้ำซาก โดยเฉพาะมาตรา 112
ทั้งนี้เฟซบุ๊ก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความถึงคดีที่แกนนำม็อบ ถูกแจ้งข้อหาไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะ ไมค์ ระยอง ล่าสุดว่า
ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พ.ต.ท.สุชัย แสงส่อง รองผู้กำกับ สภ.คลองหลวง คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งภูธรจังหวัดปทุมธานี ได้เดินทางเข้าแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหตุชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัว “นิว” สิริชัย นาถึง นักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ซึ่งถูกจับกุมในยามวิกาลของวันที่ 13 ม.ค. 2564 ด้วยข้อหามาตรา 112
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 64 ภาณุพงศ์ได้เดินทางเข้ารับทราบ 4 ข้อหาจากกรณีนี้แล้ว โดยถูกแจ้งข้อหา “ร่วมกันมั่วสุมมากกว่า 10 คนขึ้นไป” ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 และข้อหา “ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน” เป็นข้อหลัก จากพฤติการณ์คดี ปาอาหารสุนัขใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ตามบันทึกข้อกล่าวหาลงวันที่ 1 เม.ย. 64 พนักงานสอบสวนอธิบายพฤติการณ์คดีว่า ภาณุพงศ์และพวกอีก 11 คนได้จัดการชุมนุมหน้า สภ.คลองหลวง เวลา 02.00-03.50 น. ของวันที่14 ม.ค. 2564 เพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัว นายสิริชัย นาถึง ผู้ต้องหาที่กระทำความผิดตามมาตรา 112
ในระหว่างนั้นได้มีการนำอาหารสัตว์มาโปรยและขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่ตํารวจ สภ.คลองหลวง ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปด้านในสน. ภาณุพงศ์กับพวก ยังถูกกล่าวหาว่าร่วมกันใช้สเปรย์สีขาวพ่นข้อความบนกำแพง พื้นและกระจกบานเลื่อนบริเวณสน. และใช้ไมโครโฟนปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงว่า “ถ้าพี่จงรักภักดีมากนักเราก็จะสนองให้ นะครับ” ก่อนยื่นไมโครโฟนให้กับ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการเปรียบเทียบเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเหมือนสุนัข ส่วนสถาบันเป็นเจ้าของสุนัข อันเป็นความผิดที่เข้าข่าย การดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา สรุปแล้วทำให้ภาณุพงศ์ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 แล้วทั้งหมด 8 คดี”
ขณะที่ สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาอธิบายถึงการดำเนินคดีตามความผิดมาตรา 112 ไว้ว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันพบว่า ไม่ได้บัญญัติความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ไว้โดยตรง คงมีแต่ “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวจะเห็นได้ว่า โดยเนื้อหาแล้วก็เหมือนกับความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา กล่าว คือ การจะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ หรือหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาก็ใช้นิยามเดียวกัน คือ “การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามอันน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย” จะมีส่วนที่แตกต่างกันเพียง 3 ประการ” คือ
1.หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ มีโทษหนักกว่าหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา 2.หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ไม่อาจนำเหตุให้กระทำการได้ตามมาตรา 329 และมาตรา 330 มาอ้างได้ 3.ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เป็นความผิดเกี่ยวด้วยความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร