เปิดหลังบ้านเฟซบุ๊ก พบญาติจอน อึ๊งภากรณ์ นั่งปธ.บริษัทร่วม-มีอำนาจเซ็นเซอร์ข่าว! สืบลึกเครือข่ายโยง3กีบ?

10539

จากกรณีที่ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เฟซบุ๊กแถลงว่า ได้ปิดบัญชีและกลุ่มในเฟซบุ๊ก ที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) ในประเทศไทย ที่เป็นของกองทัพ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เฟซบุ๊กปิดบัญชีในไทยที่เกี่ยวโยงกับรัฐบาล

โดยเฟซบุ๊ก ระบุว่า เฟซบุ๊กได้ปิด 77 บัญชี, 72 เพจ และ 18 กลุ่ม บนเฟซบุ๊ก และอีก 18 บัญชีในอินสตาแกรม ซึ่งเฟซบุ๊กระบุว่า บัญชีเหล่านี้เชื่อมโยงกับกองทัพไทย และมีเป้าหมายเป็นผู้รับข่าวสารในจังหวัดทางภาคใต้ของไทย ที่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกับรัฐบาลมานานนับทศวรรษ

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก Thailand Vision ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “หลังบ้าน Facebook ไทย คือใครกันนะ?
สืบเนื่องจากกรณีที่สำนักข่าว Reuters รายงานเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 โดยระบุว่า บริษัทเฟซบุ๊ก (Facebook Inc.) ได้กระทำการปิด 77 แอคเคาท์, 72 เพจ, 18 กรุ๊ป และ 18 แอคเคาท์ในอินสตราแกรม (Instagram) โดยทางบริษัทเฟซบุ๊ก ได้ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว Reuters ว่า กลุ่มแอคเคาท์เหล่านี้ มีความเชื่อมโยงกับการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO (Information Operation หรือ Influence Operations) ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกองทัพบกไทย โดยใช้งบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ราว 350 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1 หมื่นบาท

แต่อย่างไรก็ตาม มีการค้นพบข้อมูลต่าง ๆ จากสำนักข่าว ทั้งในและต่างประเทศ ที่เผยให้เห็นถึงโครงสร้างของเฟซบุ๊ก ในการปฏิบัติการทางการข่าว กับหน่วยงานของกองทัพบกไทย โดยข้อมูลพบทางทีมงาน Thailand Vision ได้รวบรวมข้อมูลและรายงานต่าง ๆ มานำเสนอ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 The Grayzone สำนักข่าวสืบส่วนสอบในสหรัฐฯ ที่ก่อตั้งโดย แม็กซ์ บลูเมนทัล (Max Blumenthal) เผยแพร่รายงานของ แอลัน แม็คเคลาด์ (Alan Macleod) โดยระบุว่า บริษัทเฟซบุ๊ก ได้เซ็นสัญญาว่าจ้าง เบน นิมโม (Ben Nimmo) อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ NATO ในตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกหน่วยข่าวกรองต่อต้านปฏิบัติการทางการข่าว (Lead Global Threat Intelligence Strategy against Influence Operations)

สำนักข่าว The Grayzone ระบุว่า ความเคลื่อนไหวของเฟซบุ๊ก ที่ว่าจ้างอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ NATO อย่าง เบน นิมโม ให้มาปฏิบัติการด้านการข่าวกรองเช่นนี้ คือสิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการเซ็นเซอร์ข้อมูลและบิดเบือนข่าวสาร อีกทั้งยังใส่ร้ายโจมตีผู้อื่นให้ดูเหมือนว่าเป็นภัยคุกคาม

อดีตเจ้าหน้าที่ NATO รายนี้ มีชื่อเสียงโด่งดังในการทำงานที่อ้างว่า เป็นการปฏิบัติการต่อต้านภัยคุกคามด้านการข่าวจากรัสเซีย อิหร่าน และจีน แต่เมื่อปี 2561 ผู้ใช้ทวิตเตอร์ 2 รายที่ถูก เบน นิมโม ใส่ร้ายว่าเป็น IO รัสเซีย ก็เปิดเผยตัวเองออกมาให้เห็นว่า พวกเขาไม่ใช่ IO

ผู้ถูกใส่ร้ายรายแรกคือ นางสาว วาเลนตินา ลิซิตซา (Valentina Lisitsa) ศิลปินเปียนโนชาวยูเครนชื่อดังที่อาศัยอยู่ในอิตาลี ซึ่งความคิดเห็นของเธอที่โพสต์ในทวิตเตอร์นั้น เป็นความคิดเห็นต่อต้านการแทรกแซงจากตะวันตก ที่มีผู้เห็นด้วยจำนวนมาก

รายที่สองนายเอียน ชิลลิง (Ian Shilling) ชายอังกฤษผู้ใช้ทวิตเตอร์แอคเคาท์ @Ian56789 เขาโพสต์ตั้งคำถามและต่อต้านการกระทำของรัฐบาลอังกฤษกับประเทศพันธมิตร ที่ทำสงครามกับซีเรีย ทำให้เขาได้รับความนิยมจนมีผู้ติดตามหรือ followers ไม่น้อยกว่า 3.5 หมื่นคน แต่แล้วเขาก็ถูกปิดแอคเคาท์ทวิตเตอร์ จากการที่นายเบน นิมโม ใส่ร้ายเขาว่าเป็น IO รัสเซีย ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์ทางสำนักข่าว Sky News เขาเป็นชาวอังกฤษที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็น IO รัสเซีย และใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอังกฤษก็จะโดนใส่ร้ายแบบเขา

ในส่วนของ ‘เฟซบุ๊ก ประเทศไทย’ นั้น มีบริษัท ‘ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรททีจีส์ ประเทศไทย’ (Hill & Knowlton strategies) เป็นผู้ดำเนินธุรกิจร่วมกับ ‘เฟซบุ๊ก ประเทศไทย’ โดยเฉพาะกรณีที่เป็น ตัวแทนด้านดูแลระบบหลังบ้านและการประชาสัมพันธ์ใน ประเทศไทย ซึ่งมีอำนาจในการเซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสารเฟซบุ๊กในพื้นที่ประเทศไทย บริษัทดังกล่าวปรากฏชื่อในเป็นผู้รับผิดชอบแถลงการณ์ของเฟซบุ๊ก

หลังศาลยุติธรรมมีคำสั่งบังคับให้เฟซบุ๊ก ปิดเพจกลุ่ม ‘รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส’ แม้ว่าจะมีเสียงอิดออดจากฝ่ายเฟซบุ๊ก ที่ไม่อยากกระทำตามคำสั่งสารในประเทศไทย แต่สุดท้าย เฟซบุ๊กประเทศไทยก็ต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ในเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้สื่อข่าวจึงตรวจสอบรายชื่อผู้บริหารแล้ว พบว่า ผู้บริหารคนสำคัญของบริษัท ‘ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรททีจีส์ ประเทศไทย’ ในเวลานั้น ก็คือ กรรภิรมย์ อึ๊งภากรณ์

นอกจากนี้ ที่สำนักใหญ่ของบริษัทฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรททีจีส์ ก็ยังมี จอร์จ แท็กก์ (George Tagg) หัวหน้าฝ่ายนโยบายรัฐบาลและสาธารณะ (Global Head of Government + Public Sector) ซึ่ง จอร์จ แท็กก์ มีประวัติการทำงานทั้งในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ทั้งยังเคยเป็นผู้ช่วยพิเศษของ แอนโตนี บลิงเกน (Antony Blinken) ซึ่งปัจจุบันนั้น แอนโตนี บลิงเกน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ

แต่เมื่อหันกลับมาดูที่ กรรภิรมย์ อึ๊งภากรณ์ ผู้บริหารคนสำคัญของ ‘ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรททีจีส์ ประเทศไทย’ ซึ่ง เป็นเครือญาติของบุคคลชื่อดังทางการเมืองอย่าง จอน อึ๊งภากรณ์ ที่เป็นผู้บริหารคนสำคัญของ NGO หลายองค์กร ไม่ว่าจะเป็น มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) ไอลอว์ (iLaw) สำนักข่าวประชาไท และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (AIDS Access Foundation) ซึ่งแต่ละองค์กรนั้น มีหลักฐานความเชื่อมโยงกับทั้ง USAID (US Agency for International Development) และ NED (National Endowment for Democracy) ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังพบหลักฐานว่า จอน อึ๊งภากรณ์ เคยเป็นที่ปรึกษาของ USAID อีกด้วย

แต่สำหรับ NED ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกก็คือ พบหลักฐานเส้นทางการเงินที่ NED สนับสนุนมหาวิทยาลัย Central European University (CEU) ในปี 2558 เป็นจำนวนเงิน 45,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.35 ล้านบาท ซึ่งผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย CEU ก็คือ จอร์จ โซรอส (George Soros)

และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จากการค้นหาข้อมูลโดยละเอียด ก็พบว่า เคลาดิโอ โซปรานเซ็ตติ (Claudio Sopranzetti) เป็นอาจารย์ใน สังกัดของมหาวิทยาลัย CEU ซึ่งมีพฤติกรรมเป็นนักเคลื่อนไหว วิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย และ กองทัพไทย อยู่ บ่อยครั้ง

ซึ่ง เคลาดิโอ โซปรานเซ็ตติ เป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ และ เดวิด สเตร็คฟัส (David Streckfuss) ผู้อํานวยการโครงการ CIEE มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย เดวิด สเตร็คฟัส ก็รู้จักกับ อานนท์ นำภา อีกด้วย

นโยบายการบริหารงานของบริษัท ‘เฟซบุ๊ก ประเทศไทย’ ร่วมกับบริษัท ‘ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรททีจีส์ ประเทศไทย’ ถือเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจ นับตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ก่อนที่จะมีการออกแถลงการณ์ปิดเฟซบุ๊กเพจกลุ่ม ‘รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส’ มาจนถึงปัจจุบันที่เฟซบุ๊กเพจ และ แอคเคาท์ต่าง ๆ ถูกปิดตัวลง ด้วยเหตุผลว่า แอคเคาท์เหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับกองทัพบกไทย ซึ่งสถานการณ์โดยรวมทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นความเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งในและต่างประเทศ มีพัฒนาการที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกัน และจะยังคงดำเนินต่อไป อันจะส่งผลถึงกระแสในสังคมไทย และข่าวความเคลื่อนไหวในต่างประเทศ”