จากกรณีที่ม็อบเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 64 ที่บริเวณอนุสาวรีชัยสมรภูมิ โดยถูกปลุกระดมจากกลุ่มเยาวชนปลดแอกและแนวร่วม ภายใต้ชื่อกลุ่ม Redem
ทั้งนี้ แม้ว่าม็อบจะพุ่งเป้าไปที่บ้านพรรคนายก แต่ขณะเดียวกันก็มีการเผาทำลายสัญลักษณ์พระมหากษัตริย์ และในวันเดียวกันมีการลอบวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ที่หน้าเรือนจำคลองเปรม
ดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านที่ม็อบและนายธนาธร ได้พยายามอ้างว่าต้องการปกป้องสถาบันให้ทรงเกียรติโดยการปฏิรูป แต่การกระทำกลับสวนทาง มีการด่าทอจาบจ้าวพยายามทำลายภาพลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการประวัติศาสตร์ ได้มีโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
““สาธารณรัฐ”เป้าหมายที่แท้จริงของตี๋หนึ่งและสาวก
นักการเมือง ผู้นำการเคลื่อนทางการเมืองและม็อบล้วนกล่าวตามกันว่า พวกเขา”เรียกร้องประชาธิปไตย” และต้องการให้“ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์”
แต่ความจริงสิ่งที่พวกเขาต้องการคือ “ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
ทำไมพวกเขาถึงอ้างว่าเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งทีเมืองไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาเกือบร้อยปีแล้ว
และสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญมาเกือบร้อยปีแล้ว โดยที่สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง
แต่พวกเขายังคงเรียกร้องให้ปฏิรูป เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
ม็อบของนักศึกษาและประชากร โดนนักการเมืองหน้าตี๋ แหกตา ปลุกปั่น ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังการเมืองจึงต้องปฏิรูป และรัฐบาลเป็นเผด็จการทหาร ทั้งที่ผ่านการเลือกตั้งมาพร้อมกับพวกตน
สาเหตุเริ่มต้นยัอนไปถึงนักธุรกิจการเมืองชื่อทักษิณ ชินวัตร ผู้พ่ายแพ้แต่ไม่เคยยอมรับการพ่ายแพ้ ต้องหลุดจากวงจรการเมือง เพราะถูกทหารทำรัฐประหาร ด้วยข้อหาเป็นเผด็จการทางรัฐสภา และคอรัปชั่นระดับนโยบาย
เขาคือผู้ที่เริ่มให้ร้ายว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่เบื้องหลังการเมือง และอยู่เบื้องหลังกองทัพ
หลังจากที่เขาต้องหนีและแอบอยู่เบื้องหลังของสงครามการเมือง ที่สุดท้ายไม่เคยประสบชัยชนะ ทำให้ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ถูกบิดเบือน และปลุกปั่นจากนักการเมืองที่พ่ายแพ้ แต่ไม่เคยยอมรับการผ่ายแพ้นั้นถูกถ่ายทอดลงมาสู่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองหน้าใหม่ ที่ถูกล้างสมองโดยเหล่าอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ชีวิตมีปม
จากนักศึกษาผู้ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้เป็นขบถต่อสังคม ต่อต้านระบบนายทุน สู่การเป็นนักธุรกิจผู้เป็นนายทุนเสียเอง ก่อนจะทนเสียหัวใจอันเป็นขบถต่อสังคมไม่ได้ ในที่สุดต้องย้อนกลับมาเคลื่อนไหวทางการเมืองจนได้
อุดมการณ์ที่เขาชูธงต่อสู้มาตลอดคือ การเรียกร้องเรียกร้องประชาธิปไตย” และต้องการให้“ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” นั้นเป็นอุดมการณ์ได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ใหญ่ในมหาวิทยาลัย ผู้ที่มีปมชีวิต แล้วถูกต่อยอดจากนักธุรกิจการเมืองผู้พ่ายแพ้แต่ไม่เคยยอมแพ้
พลังเงินมหาศาลกับอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ต้องการพลิกกฟัาพลิกแผ่นดิน “ให้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐ” ตามที่เขาเคยประกาศว่าจะสานต่ออุดมการณ์ของคณะราษฏร์ 2475 จึงเริ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามพวกเขาทุกคน ตั้งแต่หัวยันหาง ไม่มีใครกล้าพูดความในใจ ว่าตัองการการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ
แต่เขาใช้คำลวงและเป้าหมายลวงว่า เรียกร้องประชาธิปไตย” และต้องการให้“ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์”
เพราะโทษของการล้มล้างการปกครองนั้นมันรุนแรง
ถ้าลองตามไปดูการแสดงความคิดเห็นของเด็กนักเรียนนักศึกษา ศิลปินดารานักร้องและประชาชนที่ถูกเขาล้างสมอง จะพบเป้าหมายที่แท้จริงว่า”พวกเขา ต้องการการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ”
ดังเช่นประโยคที่แสดงความในใจของนักศึกษาที่ถูกล้างสมองโพสต์ลงว่า “มีนาแล้ว เมื่อไหร่จะมี Republic of Thailand เสียที”นั้นมีให้เห็นอยู่เสมอ
หยุดหลอกคนอื่นและหลอกตัวเองกันเสียที
แมนๆ ถอดหน้ากากรับกันมาตรงๆ เสียทีว่าความจริง ไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย” และไม่ได้ต้องการให้“ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์”
แต่ต้องการการปกครองแบบ”สาธารณรัฐ”
อัษฎางค์ ยมนาค”