จากที่ก่อนหน้านั้น กลุ่มเยาวชนปลดแอกและแนวร่วม ในนามกลุ่ม “REDEM” ได้ประกาศนัดจัดกิจกรรม “ม็อบ 28 กุมภา” บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อไปยังบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะมีเหตุปะทะ เกิดความรุนแรง และต่อมาก็ปรากฏความสูญเสียเกิด และเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต
โดยกลุ่ม REDEM ได้ทยอยออกจากเกาะพญาไท ข้ามถนนไปปักหลักบริเวณเกาะกลางของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งขบวนเดินเท้าไปยังบ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ถนนวิภาวดีรังสิต กระทั่งเวลา 18.00 น. การชุมนุมบนถนนวิภาวดีรังสิต ได้มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มมวลชนและตำรวจที่ควบคุมฝูงชน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเจรจาให้กลุ่มมวลชนถอยเข้าไปอยู่ในแนวกั้น แต่ได้มีการฝ่าฝืนคำสั่ง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินใจฉีดน้ำสลายการชุมนุม ก่อนจะมีเสียงดังคล้ายระเบิดเกิดขึ้น
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นมวลชนสามนิ้ว ดารานักแสดงสามนิ้ว รวมถึงนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเจ้าหน้าที่ ยังคงออกโรงปกป้องม็อบว่าไม่ได้ทำความรุนแรง พร้อมประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ ขณะที่บางคนมองว่ากลุ่มผู้ชุมนุมนั้นรุนแรงและควรหยุดพฤติกรรมดังกล่าว โดย โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana แสดงความเห็นเรื่องนี้ด้วยว่า
ม็อบฮ่องกงเคยประสบความสำเร็จ …เมื่อผู้ชุมนุมเริ่มต้นการประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ม็อบฮ่องกงได้รับความสนใจจากนานาชาติและมีความชอบธรรมสูงในสายตาประชาคมโลก ภาพการปราบปรามเยาวชนอย่างรุนแรงโดยตำรวจถูกเผยแพร่ไปทั่ว กราฟแห่งการต่อสู้อยู่ในขาขึ้นที่เรียกกันว่า “กระแสสูง” จนในที่สุดทางการฮ่องกงยอม “ถอย” ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกจากการพิจารณา ข้อเรียกร้องหลักได้รับการตอบสนอง แม้ข้อเรียกร้องย่อยเรื่องการปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมดำเนินคดีและสิทธิในการเลือกผู้ปกครองตนเองจะยังคงอยู่
จุดเปลี่ยนของม็อบน่าจะเริ่มจากเหตุการณ์บุกรัฐสภา ต่อด้วยการบุกห้างสรรพสินค้า สนามบิน และการจลาจลในจุดต่าง ๆ กับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ “ยกระดับ” ขึ้นอย่างรวดเร็วสู่คำว่าการประกาศอิสรภาพแบ่งแยกดินแดนจากจีน พร้อม ๆ กับเสียงของคนเห็นต่างในประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับทั้งข้อเรียกร้องและวิธีการเริ่มดังขึ้น ภาพของการปะทะและการใช้ความรุนแรงระหว่างประชาชนด้วยกันเริ่มมีให้เห็น ในขณะที่การปราบปรามโดยรัฐก็ไม่ได้ลดน้อยลง
รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดสินใจฉวยจังหวะนี้ใช้ “ยาแรง” ออกกฎหมายความมั่นคง National Security Law ที่มีบทลงโทษรุนแรงต่อผู้ต่อต้านรัฐบาล แกนนำส่วนหนึ่งลี้ภัยไปอังกฤษ ไต้หวัน คนที่อยู่ถูกตัดสินคดีเก่าลงโทษจำคุก บุคคลสำคัญในฝ่ายต่อต้านถูกคุกคามโดยกฎหมายใหม่ การเคลื่อนไหวถูกปราบอย่างราบคาบ พร้อม ๆ กับที่เสียงสนับสนุนจากนานาชาติเงียบลง มวลมหาประชามิตรหันไปสนใจพม่าแทน
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้ออกมาพยายามเตือนสติกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างไร แต่ปรากฏว่าล่าสุดมีการแชร์ข้อความที่เหล่า กลุ่มเยาวชนปลดแอกและแนวร่วม ในนามกลุ่ม “REDEM” ได้นัดรวมตัวชุมนุมกันอีกครั้งในวันที่ 6 มี.ค. 2564 นี้