Evergrande คือ บริษัทยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของจีน เกิดภาวะวิกฤติหนี้ที่ทำเอาตลาดทั่วโลกผวา ส่อล้มละลาย นับเป็นบททดสอบสำคัญของระบบการจัดการเศรษฐกิจการเงินของจีน กับมูลค่าหนี้มหาศาล 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐของเอกชน ที่กลายเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ติดหนี้มากที่สุดในโลก ปัจจุบัน Evergrande เป็นเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1,300 โครงการ มากกว่า 280 เมืองในจีน ปัญหาวิกฤตขาดสภาพคล่องของ Evergrande เกิดจากฟองสบู่สินเชื่อที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการขยายตัวเชิงรุกเกินขอบเขต ของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลเข้มงวดกฎระเบียบและกำกับดูแลช่องทางการจัดหาเงินทุนเพื่อควบคุมสิ่งผิดปกติ ทำให้เกิดความตึงเครียดด้านสภาพคล่อง ภาษาชาวบ้านเรียกว่า หนี้ท่วมหัวหมุนไม่ทัน
เป็นตัวอย่างเสรีภาพการก่อหนี้ของทุนนิยมก็ว่าได้ สุดท้ายเมื่อรัฐบาลจีนออกมาตรการควบคุมการก่อหนี้อย่างไร้ความรับผิดชอบ ฟองสบู่สินเชื่อแตก มาดูวิธีการรับมือของรัฐบาลจีนว่า จะอุ้มหรือจะปล่อยให้ล้ม แล้วผลกระทบกับสเถียรภาพทางเศรษฐกิจของจีนจะย่ำแย่หรือล่มสลายเพราะยักษ์อสังหาฯตัวนี้หรือไม่?
ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวที่ทำให้ทั่วโลกต่างจับจ้องคงหนีไม่พ้น ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของจีน ที่มีนามว่า Evergrande หรือ เอเวอร์แกรนด์ กับภาวะวิกฤติหนี้ก้อนมหึมา 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.99 ล้านล้านบาท (1 ดอลลาร์สหรัฐ= 33.29 บาท) ที่โงนเงนเสี่ยงต่อการล้มละลายและนั่นทำให้ “เอเวอร์แกรนด์” กลายเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ “ติดหนี้” มากที่สุดในโลก
โดยนักวิเคราะห์หลากสำนักได้ส่งคำเตือนถึงบรรดานักลงทุนทั้งหลายให้ระวังไว้ ด้วยความกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ “เอเวอร์แกรนด์” ไม่สามารถจ่ายหนี้ก้อนมหึมาได้ ก่อนหน้านี้ ทาง “เอเวอร์แกรนด์” ยอมรับว่ายอดขายอสังหาฯในเดือนกันยายนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง หลังเผชิญภาวะตกต่ำมาเป็นเวลาหลายเดือน และนั่นทำให้สถานการณ์ของกระแสเงินสดยิ่งเลวร้ายมากขึ้น เกิดภาพผู้ถือหุ้นและบรรดาเจ้าหนี้รายย่อย บุกทวงหนี้สำนักงานใหญ่ของบริษัทในกรุงปักกิ่ง ยิ่งทำให้กระแส ความตื่นตระหนกในหมู่นักลงทุนขยายใหญ่มากขึ้น

สื่อตะวันตกหลายสำนักถึงขั้นวิเคราะห์กันว่า เอเวอร์แกรนด์จะเป็นตัวบ่อนทำลายเศรษฐกิจจีนอย่างยับเยินอาจขยายเป็นวงกว้างและลุกลามเป็นโดมิโนไปยังตลาดอื่นๆ ด้วย แต่จีนอาจมองแตกต่างเพราะตัดสินใจดำเนินนโยบายคุมปัจจัยเสี่ยงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ทำไม Evergrand ถึงได้ติดหนี้ก้อนโตขนาดนี้ได้??
“เอเวอร์แกรนด์” คือ บริษัทที่มีธุรกิจหลักด้านอสังหาริมทรัพย์ และเดิมมียอดขายมากเป็นอันดับ 2 ของผู้พัฒนาอสังหาฯในจีน รวมๆ แล้วเป็นเจ้าของมากกว่า 1,300 โครงการ มากกว่า 280 เมืองในจีน และยังมีสาขาเพื่อคอยให้การบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เกือบ 2,800 โครงการ มากกว่า 310 เมืองในจีนอีกด้วย
ส่วนธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากอสังหาฯ ทาง เอเวอร์แกรนด์แตกไลน์ธุรกิจถึง 7 อย่างด้วยกันในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า, การให้บริการการดูแลสุขภาพ, สินค้าอุปโภคบริโภค, โปรดักชันผลิตสื่อวิดีโอและสื่อโทรทัศน์ และสวนสนุก เป็นต้น บริษัทฯมีพนักงานภายใต้การดูแลกว่า 2 แสนคน และสร้างงานแต่ละปีมากกว่า 3.8 ล้านตำแหน่ง
เพราะการลงทุนอย่างก้าวกระโดดในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ ทั่วเอเชีย ทั้งที่เป็นหุ้นและพันธบัตรทำให้เมื่อจู่ๆ ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ อย่าง “เอเวอร์แกรนด์” เกิดสะดุด และมีท่าทีจะล้มมิล้มแหล่อยู่ในตอนนี้ ก็ทำนักลงทุนหวาดผวาไปตามๆ กัน เกิดการจับตากระแสข่าวอย่างใกล้ชิดไปทั่วโลก
วิกฤตสภาพคล่องเกิดเพราะฟองสบู่สินเชื่อแตก
เมื่อ”รัฐบาลจีน” ออกมาตรการเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2563) ต้องการจะลดหนี้สาธารณะกับหนี้เอกชนเพื่อที่จะสร้างเสถียรภาพ จึงได้ให้ธุรกิจต่างๆ ในประเทศไปลดหนี้ลง
เอเวอร์แกรนด์เริ่มเผชิญกับปัญหาอันหนักหน่วงที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว (2563) เหตุก็เพราะ “รัฐบาลจีน” จัดกฎระเบียบใหม่เพื่อควบคุมต้นทุนการปล่อยสินเชื่อ และการกู้ยืมของบรรดาผู้พัฒนาอสังหาฯทั้งหลาย โดยมาตรการต่างๆ เหล่านั้นครอบคลุมหนี้ที่เกี่ยวข้องกับกระแสเงินสด รวมถึงระดับสินทรัพย์และทุนด้วย ผลที่เกิดขึ้นคือ หุ้นของเอเวอร์แกรนด์ในตลาดฮ่องกง จนถึงปัจจุบันราคาลงหนักเกือบ 80% ขณะเดียวกัน ช่วงหลายสัปดาห์ตลาดหลักทรัพย์จีนหยุดการซื้อขายพันธบัตรชั่วคราวหลายครั้ง
ดูจีนรับมือฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์อย่างไร กับกรณีเอเวอร์กรีน!!
นักวิเคราะห์มองตรงกันว่าความเป็นไปได้ที่สุดในตอนนี้ คือ”การปรับโครงสร้างหนี้” เพื่อเข้าเทคโอเวอร์บรรดาโครงการของ “เอเวอร์แกรนด์” ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ด้วยวิธีการอย่างการแลกเปลี่ยนหุ้นของธนาคารที่ดิน(Land Bank)
ล่าสุดเมื่อวานนี้ 19 ก.ย.2564 เอเวอร์แกรนด์เริ่มแผนการชำระคืนหนี้โดยเสนออสังหาริมทรัพย์สำหรับนักลงทุน เพื่อเป็นทดแทนการค้างชำระเงินแก่นักลงทุนหลายร้อยคนจากทั่วประเทศจีน ที่มุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทในเซินเจิ้นเพื่อเรียกร้องการชำระคืนเงินลงทุนของพวกเขา ซึ่งอาจรวมกันได้มากถึง 4 หมื่นล้านหยวน ( 6.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
การชำระคืนสามารถทำได้ผ่านการผ่อนชำระเป็นเงินสด ทรัพย์สิน หรือเพิ่มผลประโยชน์ให้เจ้าหนี้นักลงทุนที่ได้ซื้อหน่วยที่อยู่อาศัยไปแล้ว ตามแผนประกาศโดยดู เหลียง (Du Liang) หัวหน้าหน่วยบริหารความมั่งคั่งของเอเวอร์แกรนด์ ทั้งนี้นักลงทุนสามารถรับส่วนลด 28 ถึง 52 เปอร์เซ็นต์จากราคาปัจจุบัน หากพวกเขาเลือกโครงการของเอเวอร์แกรนด์ เช่น อพาร์ตเมนต์ ร้านค้า รวมพื้นที่จอดรถ
เฉิน เหมิง ผู้อำนวยการ Chanson & Co ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนในปักกิ่ง (Shen Meng, director of Chanson & Co., a Beijing-based boutique investment bank)กล่าวว่า “สำหรับนักลงทุน อพาร์ทเมนท์ไม่ได้มีสภาพคล่องเท่าเงินสด แต่ก็ยังมีมูลค่าเพียงพอ ดังนั้นทางเลือกอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้แย่ที่สุดเช่นกัน” เฉินย้ำว่า“เอเวอร์แกรนด์ยังคงมีสินทรัพย์ขนาดใหญ่มากพอที่จะครอบคลุมหนี้สิน ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงในขั้นตอนปัจจุบัน”
ขณะเดียวกันธนาคารกลางจีน ( PBOC) ได้เพิ่มเงินทุนจำนวน 9 หมื่นล้านหยวนหรือ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เป็นครั้งแรกในเดือนนี้ที่เพิ่มสภาพคล่องในระบบระยะสั้นเข้าสู่ระบบธนาคารในวันเดียว ทำให้ความกังวลต่อวิกฤตการเงินในภูมิภาคลดลง แม้ว่า บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุด อันดับ 2 ของจีนประสบปัญหาสภาพคล่องลดลง และมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ นักวิเคราะห์มองประเด็นดังกล่าวยังมีน้ำหนักน้อย เพราะมูลหนี้ของ Evergrande ทั้งหมดประมาณ 3.56 แสนล้านเหรียญ คิดเป็นเพียง 2% ของ GDP จีน นอกจากนี้กรณีแย่สุด หากมูลค่าหนี้มหาศาล ของ Evergrande กลายเป็น NPL ทั้งหมด จะทำให้สัดส่วน NPL ของจีนเพิ่มจาก 2% เป็น 2.1%-2.15%เท่านั้น