สภาแห่งรัฐของจีน เปิดเผยรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยขนของสหรัฐในปี 2020 ต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เช่นการจัดการที่เหลื่อมล้ำเมื่อไวรัสโควิดระบาด การละเมิดสิทธิฯคนงาน ผู้อพยพ การเหยียดผิวรุนแรง และความขัดแย้งแตกแยกในสังคม ขณะที่ส่งออก”สิทธิมนุษยชน”และ “ประชาธิปไตย” ก่อสงครามในอีรัก ซีเรีย ลิเบียฯ และเมื่อปธน.ไบเดนแห่งสหรัฐ กลับเข้าร่วมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และหวังเป็นผู้นำในการใข้ประเด็นสิทธิมนุษยชน กดดันต่อประเทศต่างๆ รายงานของจีนฉบับนี้จึงเสมือนการต้อนรับ สหรัฐสู่เวทีสิทธิมนุษยชนอย่างดุเด็ดเผ็ดมันไม่น้อย ขณะที่สหรัฐใช้สิทธิมนุษยชน บีบคั้นประเทศอื่นๆ แต่ในสังคมอเมริกันกลับเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำและการละเมิดสิทธิ์ต่อเนื่องมายาวนาน ยังไม่ได้รับการแก้ไข จึงเป็นการแฉความจริงเบื้องหลัง”การโกหกคำโตเรื่องสิทธิมนุษยชน”ของสหรัฐนั่นเอง
วันที่ 1 มี.ค.2564 สำนักข่าวซินหัว และ Global times รายงานว่า สำนักงานข้อมูลสภาแห่งรัฐของจีน จะได้เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯในปี 2020/2563 เนื่องจากความพยายามในการต่อต้านการแพร่ระบาดที่ล้มเหลวของวอชิงตันในปีที่ผ่านมา ทำให้ความแตกแยกทางสังคมย่ำแย่ลง ส่งผลเกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการเหยียดผิวรุนแรงมากขึ้น นับว่าปี 2020 เป็นจุดตกต่ำที่สุดสำหรับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแบบอเมริกัน
รายงานดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯและประเทศตะวันตกอื่น ๆ รวมทั้งสื่อใช้การโฆษณาชวนเชื่อแบบ “โกหก” ต่อจีนในหัวข้อซินเจียง-อุยกูร์และโควิด -19
เอกสารได้ให้รายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกักกันโรคระบาดที่ล้มเหลวของวอชิงตัน ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าเศร้า ความผิดปกติของประชาธิปไตยอเมริกันที่ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายทางการเมือง ชนกลุ่มน้อยที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ความไม่สงบในสังคมที่คุกคามความมั่นคงสาธารณะอย่างต่อเนื่อง การแบ่งขั้วระหว่างคนรวยและคนจนซ้ำเติมสังคม เกิดความไม่เท่าเทียมกัน และการที่สหรัฐฯเหยียบย่ำกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติด้านมนุษยธรรม
เมื่อเทียบกับรายงานปี 2019 เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯที่ออกในปี 2020 ซึ่งมีรายละเอียดในประเด็นต่างๆ รวมถึงการละเมิดสิทธิพลเมืองของพลเมืองปัญหาการเมืองเรื่องเรื่องเงิน ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ การเหยียดผิวที่เลวร้ายลง และการคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อเด็กสตรีและผู้อพยพ
ใน รายงานประจำปี 2020 ของสหรัฐฯเปิดเผยว่าปัญหาเหล่านี้หลายประเด็นได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการตอบสนองของการระบาดใหญ่ไวรัส COVID-19 ของสหรัฐฯที่ออกมาในรูปของความ “บ้าบิ่นดันทุรัง”
นอกจากนี้ข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนที่เสื่อมโทรมของสหรัฐฯยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนอิสระของสหประชาชาติ ได้ร้องเรียนเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.พ.ที่ ผ่านมาให้รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯที่นำโดยโจ ไบเดน นำการปฏิรูปในวงกว้างมาใช้ เพื่อยุติความรุนแรงของตำรวจ และการจัดการกับปัญหาการเหยียดผิวในระบบอย่างจริงจัง
นายหวาง เว็นบิน (Wang Wenbin) โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนกล่าวในการบรรยายสรุปของสื่อว่า “เราหวังว่าสหรัฐฯจะละทิ้งความสองมาตรฐานและเผชิญกับปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง เช่นการเหยียดเชื้อชาติและการบังคับใช้กฎหมายที่รุนแรง ตลอดจนใช้มาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง”
ซู ยิง รองผู้อำนวยการฐานการศึกษาและฝึกอบรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของมหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์และกฎหมายเซาท์เวสต์ (ZHU Ying, Deputy Director of Center for Human Rights Education and Research, Southwest University of Political Science and Law)กล่าวว่ารายงานปี 2020 แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่แท้จริงในสหรัฐฯ เปิดเผยจุดเปลี่ยน และเนื้อแท้ของระบบประชาธิปไตยของสหรัฐฯอย่างแท้จริง
ซูกล่าวว่า “ การแพร่ระบาดของโรคระบาดในปี 2020 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ จากชัยชนะกลายเป็นตกต่ำพ่ายแพ้ และ โจ ไบเดน ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ได้” จุดเด่นหลักของรายงานปี 2020 คือการเปิดเผยแนวโน้มสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯที่ลดลงอย่างชัดเจน
ดร.ลู เซียง (Dr.Lü Xiang) นักวิจัยจาก Chinese Academy of Social Sciences ในปักกิ่งกล่าวว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯถือเป็นเรื่องร้ายแรง “การจัดการการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในสหรัฐฯไม่ดี ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500,000 คนซึ่งมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก และโศกนาฏกรรมแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นมหาอำนาจที่ก้าวหน้าที่สุด ของเทคโนโลยีทางการแพทย์ในโลก – เป็นความผิดพลาดที่ไม่อาจให้อภัยได้โดยรัฐบาลสหรัฐฯ “
ลูกล่าวว่า เมื่อเทียบกับข้อเท็จจริงอื่นๆเช่น วิกฤตการณ์ทางพลังงานในรัฐเท็กซัส การเสียชีวิตของจอร์จฟลอยด์และการเสียชีวิตของคนอเมริกันจากโควิด -19 จำนวนมาก กับการวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากสหรัฐฯต่อจีนเช่น การอ้าง “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” อย่างไม่มีหลักฐานเพื่อเป้าหมายบางอย่างโดยอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นเรื่องไร้สาระ ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
“นักการเมืองตะวันตกที่มีอิทธิพลและอำนาจมากเชื่อในทฤษฎีของ Joseph Goebbels ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการโฆษณาชวนเชื่อของนาซีเยอรมนีกล่าวไว้ว่า : หากคุณโกหกเรื่องใหญ่พอและพูดซ้ำไปซ้ำมาผู้คนก็จะเชื่อในที่สุด โดยสังเกตว่าสหรัฐ กำลังใช้แนวทางการทูตแบบ “โกหก” เพื่อตีตราจีนและรายงานของจีนจะเป็นการตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริงต่อแนวทางของพวกเขา
รายงานระบุว่า ชาวแอฟริกัน – อเมริกันมีแนวโน้มที่คนผิวขาวจะติดเชื้อโคโรนาไวรัสมากกว่าคนผิวขาวถึง 3 เท่ามีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากไวรัสนี้ถึง 2 เท่าและมีแนวโน้มที่จะถูกตำรวจฆ่าถึง 3 เท่า หนุ่มสาวชาวเอเชีย – อเมริกัน 1 ใน 4 คนตกเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้งทางเชื้อชาติ
นอกจากนี้รายงานยังระบุด้วยว่า การแพร่ระบาดโควิด-19นำไปสู่การว่างงานจำนวนมากโดยเรียกกลุ่มเสี่ยงว่า “เหยื่อรายใหญ่ที่สุด” จากการรับมือ COVID-19 ที่ไร้ความสามารถของรัฐบาลสหรัฐฯ
เอกสารดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์การค้าปืนและการกราดยิงปืนเกิดขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสหรัฐอเมริกาซึ่งความเชื่อมั่นของผู้คนในระเบียบสังคมลดลง มีผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงทั่วสหรัฐอเมริกามากกว่า 41,500 คนในปี 2020 เฉลี่ยมากกว่า 110 ครั้งต่อวันและมีการยิงกันทั่วประเทศ 592 ครั้งโดยเฉลี่ยมากกว่า 1.6 ครั้งต่อวัน
ในรายงานกล่าวถึงไฮไลต์อีกประการหนึ่งคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2020 ซึ่งการเมืองที่แปดเปื้อนเงิน ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็น “การแสดงคนเดียว” ของกลุ่มคนที่ร่ำรวย และความเชื่อมั่นของผู้คนที่มีต่อระบบประชาธิปไตยของอเมริกาลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี
การเปิดตัวรายงานปี 2020 นี้ เกิดขึ้นท่ามกลางการประชุมครั้งที่ 46 ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ในขณะที่สหรัฐและประเทศตะวันตกกล่าวหาจีนเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนในซินเจียงอย่างต่อเนื่อง
ประธานาธิบดีโจไบเดนของสหรัฐฯตัดสินใจกลับเข้าร่วมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สวนทางกับอดีตปธน.ทรัมป์ โดยมีเป้าหมายที่การเปลี่ยนแปลงและผูกขาดการแสดงออกด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ด้วยนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่ออกแบบมาเพื่อช่วยสหรัฐฯในการแข่งขันกับผู้อื่น
แต่วันนี้จีนกำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และยังมีส่วนร่วมในการผลักดันการเปลี่ยนแปลง ประเด็นสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้วย โดยเส้นทางสิทธิมนุษยชนของจีน เน้นการพัฒนาประเทศและความสมดุล ระหว่างสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาเศรษฐกิจและเน้นย้ำถึงอำนาจอธิปไตยและหลักการที่ไม่แทรกแซงซึ่งกันและกัน