อดีตผู้พิพากษา กางหลักฐานฟาดหน้า “บก.ฟ้าเดียวกัน” ด่าผู้พิพากษา ไม่กล้าลงชื่อยกคำร้องประกันตัว 4 แกนนำ!!
จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (27 ก.พ. 64) นายนรเศรษฐ์ ได้โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ ว่า “ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว กลุ่มราษฎร นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ กับพวก โดยให้เหตุผลว่า “ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” โดยคำสั่งศาลคือ “วันที่ 26 เดือน กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2564 พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับศาลอุทธรณ์ เคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ในระหว่างพิจารณามาแล้ว อีกทั้งเหตุตาม คำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในระหว่างพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง.”
![](https://media.truthforyou.co/2021/02/image_big_6039be649ae82-696x561-1-300x242.jpg)
ต่อมาทางด้าน นายธนาพล อิ๋วสกุล บก.ฟ้าเดียวกัน ได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน โดยได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า “กล้าทำ ไม่กล้ารับ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว กลุ่มราษฎร นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ กับพวก โดยให้เหตุผลว่า “ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” แต่ไม่กล้าลงชื่อ สมแล้วที่คนจะด่าศาลกันทั้งบ้านทั้งเมือง”
ในขณะที่ทางด้าน เพจ ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง ก็ได้นำข้อความดังกล่าวของนายธนาพล ไปแชร์และลงชื่อ นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล
![](https://media.truthforyou.co/2021/02/154585972_3488868494572685_1165967809463883969_o-225x300.jpg)
ล่าสุด นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า
นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง เขียนดูแคลนผู้พิพากษาที่มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแกนนำม็อบราษฎรว่า ไม่กล้าแสดงตัว ฯ
ในฐานะที่เคยรับราชการเป็นผู้พิพากษามา 34 ปีเศษและเคยเป็นอาจารย์บรรยายกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เป็นเวลา 17 ปี ขอชี้แจงข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงดังนี้
1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติไว้ว่ากรณีใดต้องทำเป็นคำพิพากษาหรือทำเป็นคำสั่ง
2.เรื่องปล่อยชั่วคราวที่กล่าวไว้ในมาตรา 106 ถึงมาตรา 119 ทวิ กำหนดให้คำเป็นคำสั่ง ศาลจึงต้องยึดถือปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว
3.การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องของแกนนำม็อบราษฎรที่อุทธรณ์คำสั่งศาลอาญาที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยทำเป็นคำสั่ง ไม่ได้ทำเป็นคำพิพากษา จึงเป็นการปฏิบัติถูกต้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว
4.คำที่เรียกประชาชนทั่วไปเรียกกันว่า “ตัดสิน” หรือ ภาษากฎหมาย เรียกว่า “พิพากษา” นั้น ตามกฎหมายให้ใช้ในกรณีที่ต้องวินิจฉัยเนื้อหาที่เป็นข้อพิพาทแห่งคดี แต่คำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ไม่ใช่การวินิจฉัยเนื้อหาที่เป็นข้อพิพาทแห่งคดี ผู้ที่รู้กฎหมายไม่เรียกว่า “ตัดสิน” แต่จะเรียกว่า “คำสั่ง”
5.คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องตามข้อ 3 เป็นรูปแบบคำสั่งคำร้องของศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาที่มีใช้กันมานานนับสิบปีแล้ว โดยมีลายมือชื่อขององค์คณะผู้พิพากษา 3 ท่าน และประทับตราศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี โดยไม่พิมพ์รายชื่อองค์คณะผู้พิพากษา เพราะไม่ใช่คำพิพากษาที่ต้องพิมพ์รายชื่อองค์คณะผู้พิพากษาด้วย และไม่ใช่เพิ่งมีเฉพาะคำสั่งคำร้องคดีแกนนำม็อบ ทั้งไม่ใช่เพราะองค์คณะผู้พิพากษาไม่กล้าแสดงตัวหรือหวั่นเกรงอะไรอย่างที่นายสมชายกล่าวหาอย่างดูแคลน
องค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าวกล้าแสดงตัวเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างแน่นอนโดยไม่หวั่นเกรงอะไร เพราะเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มคนที่ยุยงส่งเสริมสนับสนุนให้เยาวชนนักศึกษาออกมาเคลื่อนไหวกระทำผิดกฎหมาย แต่ตัวเองแอบอยู่ข้างหลังม็อบ
6.ถ้าผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีไม่กล้าแสดงตัวหรือหวั่นเกรงอะไรก็คงไม่มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 20 ปี จำคุกจำเลยตลอดชีวิต หรือประหารชีวิตจำเลย เพราะคำพิพากษาเหล่านั้นได้พิมพ์รายชื่อองค์คณะผู้พิพากษาไว้ในคำพิพากษาทุกคดี