ต้องบอกว่าผลจากการกระทำล้วนๆ ยิ่งโดยเฉพาะกรณีนี้ ยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่ากฎหมายไม่ได้กลั่นแกล้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าแจ้งข้อหาเพนกวินเพิ่มอีกสำหรับความผิดตามมาตรา 112 และยิ่งกว่านั้น หากจะเชื่อว่า นี่คือผลกรรมจากการจาบจ้วง ก้าวล่วงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่ผิดนัก!!!
ทั้งนี้จากการที่ เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำม็อบคณะราษฏร ได้โพสต์ข้อความกล่าวหาในหลวงรัชกาลที่ 7 ซึ่งมีเนื้อหาที่สังคมชวนตั้งคำถามว่า เท็จจริงเป็นอย่างไร หากเป็นเรื่องโกหกก็มีหลักฐานที่ชัดเจนแล้วทำไมเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการเอาผิดตามกฏหมาย
โดยข้อความที่ เพนกวิน ระบุไว้ในเฟซบุ๊ก อ้างว่า ในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อพระองค์สละราชสมบัติไปก็พยายามจะเอาพระแก้วมรกต (ซึ่งเป็นสมบัติชาติ) ไปขาย และถ้าเราไม่แก้ พรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เหตุการณ์นี้ก็อาจจะเกิดขึ้นถ้ารัชกาลที่ 10 สละราชสมบัติ
ต่อมาวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีเพนกวินว่า
“ไม่น่าเชื่อเลย ข้าพเจ้าขอสาปแช่ง! มีกัลยาณมิตรที่ห่วงใยส่งข้อความเหล่านี้มาให้ดู ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพนกวิน จะเลวทรามได้ถึงเพียงนี้
ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ไม่ทรงเคยทำเช่นนั้นกับองค์พระแก้วมรกต ทรงเสด็จพระราชดำเนินเป็นพระราชกรณียกิจกราบเบญจางคประดิษฐ์อยู่รอพระประทีปลดเปลวสว่างลง
และการให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ โดยขาดความรู้ความเข้าใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ควรเร่งดำเนินการด่วนที่สุด จาบจ้วงไม่พอ นี่เล่นใส่ร้ายป้ายสี ความรู้ประวัติศาสตร์เท่าหางอึ่ง
เล่นถึงองค์พระแก้วมรกต ถึงกาลเสื่อมสลายของเพนกวิน แล้ว พ่อแม่คงมิได้ให้คำสั่งสอน การคิดเช่นนี้หาเรื่องและภัยมาใส่ตัว ขอให้มีอันเป็นไป”
จากนั้นในวันเดียวกัน นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมาโพสต์รูปพร้อมข้อความถึงเหตุการณ์จากการโพสต์ของเพนกวินด้วยว่า ได้แจ้งความดำเนินคดี นายพริษฐ์ ชิวรักษ์ หรือ “เพนกวิน” แกนนำกลุ่มราษฎร ที่ สภ.อโพธาราม
โดยนางสาวปารีณา ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กอย่างละเอียดว่า วันนี้มาแจ้งความน้องเพนกวิน @ สภ.อ โพธาราม ข้อหาพรบ.คอพ์ น้องเพนกวินโพสต์ Facebook กล่าวหารัชกาลที่ 7 ว่าพยายามเอาพระแก้วมรกตไปขาย และ เสียดสี รัชกาลที่ 10 ว่าอาจจะทำตามรัชกาลที่ 7 ซึ่งข้อความดังกล่าว เป็นข้อความมั่วซั่ว ไม่มีข้อเท็จจริงเลย ใส่ร้าย รัชกาลที่ 7 เสียดสีรัชกาลที่ 10 จำเป็นต้องมาดำเนินคดี เพราะสุดจะทน # หยุดสร้างเรื่องใส่ร้ายพระมหากษัตริย์
ล่าสุดวันนี้ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เฟซบุ๊ก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางเข้าแจ้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำม็อบอย่างเพนกวิน ในความผิดตามมาตรา 112 จากการใส่ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 7 ว่า
วันนี้ (18 ก.พ. 64) ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ พนักงานสอบสวนจาก 3 สถานีตำรวจภูธรในจังหวัดเชียงใหม่เข้าแจ้งข้อกล่าวหาแก่ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ และอานนท์ นำภา จำนวนคนละ 2 คดี ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์” มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และข้อหาตามมาตรา 14 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 สำหรับพริษฐ์
คดีแรก เหตุจากโพสต์เฟซบุ๊กของพริษฐ์เกี่ยวกับการซื้อขายพระแก้วมรกต โดยพนักงานสอบสวนสภ.สันทราย แจ้งข้อหามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมฯ แก่พริษฐ์ โดยผู้กล่าวหา คือ เจษฎา ทันแก้ว
คดีต่อมา คือ คดีชุมนุม #เชียงใหม่จะไม่ทน ที่ประตูท่าแพ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 63 ซึ่งอานนท์เคยถูกจับกุมตามหมายจับในคดีนี้ ตามข้อหามาตรา 116 ก่อนที่ นายอภิวัฒน์ ขันทอง จะเข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีมาตรา 112 กับอานนท์ เหตุปราศรัยถึงทรัพย์สินกษัตริย์
คดีสุดท้าย คือ คดีจากกิจกรรม “ปาร์ตี้ริมเขา เป่าเค้กวันเกิด พลเรือเอกก๊าบๆ” ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่ม “ประชาคมมอชอ” เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 63 โดยทั้งอานนท์และพริษฐ์ได้ขึ้นปราศรัยกล่าวถึงประเด็นทรัพย์สินของกษัตริย์ และงบประมาณสถาบันกษัตริย์ ก่อนจะถูกแจ้งข้อหามาตรา 112 จากพนักงานสอบสวนสภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์
ทั้งคู่ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ย้ำเป็นการใช้สิทธิ พร้อมให้การเพิ่มเติม ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม เลขาธิการพระราชวัง นายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตประเทศเยอรมนี, ผู้ประสานงานพรรคกรีน เกี่ยวกับการใช้ทรัพย์สินของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 และขอให้สอบสวนบริษัทไทยพาณิชย์ ปูนซีเมนต์ ถึงหุ้นของกษัตริย์รัชกาลที่ 10
สำหรับก่อนหน้านี้ แกนนำม็อบแต่ละรายมีคดีติดตัวคนละหลายคดีแล้ว ทั้งความผิดตามมาตรา 112 , ความผิดตามมาตรา 112 หรือ พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกนนำผู้ชุมนุมที่อายุยังน้อยอย่าง เพนกวิน ที่ปัจจุบันอายุย่างวัย 23 ปี แต่มีคดีหมิ่นสถาบันไปแล้ว 17 คดี และหากรวมล่าสุดวันนี้อีก2คดี ก็จะกลายเป็น 19 คดี ซึ่งหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงตามคดีนี้จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี นั่นก็หมายความว่า เพนกวิน ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำอย่างน้อย 57 ปี และสูงสุดอยู่ที่ 285 ปี (ในความผิด ม.112 ซึ่งคูณด้วย 3 และ 15 )