จากการที่4แกนนำม็อบไม่ได้ประกันตัวเพราะศาลเห็นว่าเป็นการกระทำความผิดซ้ำซาก ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวต่างๆมากมายจากฝ่ายต่อต้านสถาบัน รวมทั้งนักวิชาการคนสำคัญ ที่ถูกเรียกว่า ศาสดาสามนิ้วอย่างดอกเตอร์ชาญวิทย์ !!!
ทั้งนี้จากที่สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ชี้แจงถึงการสั่งคดีนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน , นายอานนท์ นำภา , นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหาที่ 1- 4 ซึ่งเป็นแกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร ซึ่งทั้งหมดคดีมี 2 สำนวน เรื่องแรก คดีชุมนุมม็อบเฟสมีผู้ต้องหารายเดียว คือนายพริษฐ์ ข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตาม ป.อาญา ม.112 , ยุยงปลุกปั่นฯ ตาม ป.อาญา ม.116 และชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 ได้มีคำสั่งฟ้องทั้ง 3 ข้อหา
สำหรับอีก 1 สำนวน คือ คดีชุมนุม ระหว่างวันที่ 19-20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-สนามหลวง ได้กล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสี่ ในข้อหาตาม ม.112 , ม.116 , ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ , ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ , กีดขวางทางสาธารณะฯ , ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ , ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ , ทำลายโบราณสถานฯ , ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ รวม 11 ข้อหา พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ทุกข้อหา
ต่อมาพนักงานอัยการคดีอาญา 7 ได้นำตัวนายพริษฐ์ ,นายอานนท์ ,นายสมยศ และหมอลำแบงค์ มายื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญา โดยยื่นฟ้องรวม 2 สำนวน โดยทนายความจำเลยทั้งสี่ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด โดยศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหา และพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ต่างกรรมต่างวาระตามข้อหาเดิมหลายครั้งหลายครา กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวพวกจำเลยจะไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันอีก ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวยกคำร้อง จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายพริษฐ์กับพวกทั้งหมดไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
ล่าสุดวันนี้ 10 กุมภาพันธ์ 2564 นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการ และอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงคดีดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กทั้งในภาษาอังกฤษ และภาษาไทยถึง 2 ครั้ง โดยพบในเวลา 07.35 น. และ 07.39 น.ซึ่งเนื้อหาระบุว่า “Politically, Thailand is very hot and not land of compromise…nor land of rule of law No Rule of Law in Thailand
การเมืองไทยร้อนแรง มาก ถึงมากสุด ไทย หาใช่ดินแดนของการประนีประนอม หาใช่รอมชอมไม่ และหาใช่มีกฎหมาย เป็นหลักการไม่”
นั่นคือสิ่งที่ดอกเตอร์ชาญวิทย์ นักวิชาการฝ่ายต่อต้านสถาบัน ออกมาแสดงท่าทีเอาไว้หลังบรรดาแกนนำม็อบติดคุก โดยเฉพาะ เพนกวิน ที่ต้องถือว่าเป็นลูกศิษย์จากธรรมศาสตร์ และนี่เองที่ทางทีมข่าวเดอะทรูธ อยากจะนำเสนอเรื่องราวของนักวิชาการอย่างชาญวิทย์อีกครั้ง เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ได้เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการประนีประนอมในสังคมไทยไว้อย่างเรียกว่า พลิกลิ้น?!?
ย้อนไปเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2564 เฟซบุ๊ก Voice TV ได้โพสต์ข้อความเผยแพร่บทสัมภาษณ์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกี่ยวกับการชุมนุมของม็อบเด็กๆไว้บางช่วงว่า
ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เปิดมุมมองต่อคนรุ่นใหม่ ฝ่ายอนุรักษนิยม ชนชั้นนำ และหนทางตามวลีแห่งประวัติศาสตร์ที่ว่า “Thailand is the land of compromise” จะเป็นไปได้อย่างไร ณ จุดที่สังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุคสมัยของการเปลี่ยนผ่านอย่างถึงราก
นี่คือบทสนทนาบางส่วน…
‘วอยซ์’ : นอกจากเสียงเรียกร้องให้ยกเลิก 112 แล้ว เสียงของฝั่งรอยัลลิสต์ก็ไม่เบา อาจารย์มองอย่างไร กังวลใจไหมว่าภาพแบบ 6 ตุลาฯ จะฉายซ้ำ
‘ชาญวิทย์’ : กรณีของคนรุ่นใหม่ตั้งแต่ชุมนุมเมื่อกรกฎาคม 2563 เป็นสิ่งที่ผมประหลาดใจนะ แล้วไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยซ้ำ ประหลาดใจมากๆว่า ความกล้าของเขาเรียกว่าทะลุทะลวงข้อจำกัดเนี่ย ผู้มีอำนาจ ผู้มีบารมี กลับไม่พยายามหาทางมาเจอกัน ผมว่าน่าวิตก น่าห่วงมากๆ
สถานการณ์โดยรวมซีเรียสนะครับ แต่ถามว่าน่าหมดหวังไหม น่าท้อถอยไหม ไม่นะ ผมว่าใช้คำว่าน่าจะยังมีโอกาส ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ผมอายุ 80 แล้ว เห็นโลกมายาวนานแล้ว ถ้าเรามองปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของเรา และในโลกทั้งใบ ในที่สุดคงจะผ่านไปได้
‘วอยซ์’ : อาจารย์มองเห็นความหวัง แปลว่าทุกฝ่ายคงกลับมาคุยกันได้ใช่ไหม เหมือนดั่งประโยคที่ว่า “Thailand is the land of compromise”
‘ชาญวิทย์’ : ผมคิดว่าคำว่า “Thailand is the land of compromise” เป็นคำที่งดงามมากๆ และเป็นคำที่โดยใครก็ตาม รวมทั้งผมด้วยก็คงหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ผมว่ามันเป็นวาทกรรม เป็นแนวคิดที่ว่าคนไทยมีอันนี้ แต่ในความจริงทางประวัติศาสตร์ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ถ้าเราเชื่อว่ามันมีอยู่ในนี้ (ชี้ที่หัวตัวเอง) ก็น่าจะเป็นคุณสมบัติของเรา เราก็ต้องฝ่าฟันไปให้ถึงจนได้
ผมอยากเชื่อว่าผู้มีอำนาจ ผู้มีบารมี คนที่อยู่ในชนชั้นปกครอง เขาจะ compromise เมื่อเขารู้ว่าถ้าไม่ compromise เขาก็อาจจะพัง เพราะฉะนั้นปรากฏการณ์ที่ผ่านมา ผมว่าสังคมอาจจะมาถึงจุดนี้ก็ได้แล้ว ถ้าเราไม่ compromise เราพังกันหมด ไม่มีใครได้
(อ่านบทสัมภาษณ์ต่อได้ที่ VoiceOnline www.voicetv.co.th/read/ESp9WAHLg)
นอกจากนี้ นายบุญเกื้อ ปุสสเทโว โฆษกกลุ่มไทยภักดี ก็ยังเคยโพสต์ข้อความ ถึงบุคคลสองคนที่คนไทยรู้จักกันดี โดยเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่ามีความคิดเห็นสนับสนุนม็อบ3นิ้ว หรือ กลุ่มคณะราษฎร โดยมีการอ้างถึงข้อความเชื่อมโยงไว้ให้ติดตามข้อเท็จจริง???
“ในที่สุดเราก็พบหลักฐานความเชื่อมโยง ว่าไอ้โม่งที่เป็นหัวเรือใหญ่เป็นมันสมองของเครือข่ายขบวนการล้มเจ้าทั้งหมดนั้นว่าไม่ใช่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อย่างที่หลายๆคนเข้าใจแต่ว่าเป็น คุณลุง ผู้มีความใฝ่ฝัน ที่จะมีชื่อได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้นำคนสำคัญ ในการล้มเจ้า จึงไม่แปลกอะไรที่ทุกวันนี้ จะเห็นคุณลุงมักจะโพส Facebook ด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง ว่าเราสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้อยู่เสมอเสมอสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ก็ได้เห็นกันแล้วสิ่งที่เคยเห็นก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป”
ยิ่งประจักษ์ชัดเมื่อเรามาค้นพบจดหมายน้อยซึ่งเปรียบเสมือนสาส์นรักจากลุงที่เขียนถึงคนรักซึ่งมีเนื้อความพร้อมภาพถ่ายลายเซ็น ที่บรรจงเขียนด้วยความอิ่มอกอิ่มใจที่ได้มาประกาศการชู3นิ้วที่ญี่ปุ่น”