ชาวนาเฮสิรอไร!?! รัฐบาลเพิ่ม 2.8 หมื่นลบ.ชดเชยประกันรายได้เกษตรกรปลูกข้าว พร้อมทุ่ม 1,600 ลบ.พัฒนาพันธ์ุข้าวลุยส่งออก

923

ครม. อนุมัติเพิ่มงบประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอีก 2.8 หมื่นลบ.จากเดิม17,676.54 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นเป็น 45,754.98 ล้านบาท พร้อมทุ่มอีก 1,600 ล้านบาทพัฒนาพันธ์ข้าว หวังทวงแชมป์ทั้งคุณภาพและราคาในตลาดส่งออก มั่นใจได้ว่าเกษตรกรผู้มีสิทธิ์จะได้รับเงินชดเชยแน่นอน ในขณะที่ตั้งเป้ายกระดับรายได้ชาวนา พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคงอย่างแท้จริง

วันนี้ 9 ก.พ.2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ตามที่ ครม.ได้อนุมัติหลักการโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2563/64 วงเงินรวมทั้งสิ้น 56,093 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนต้นทุนการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในอัตราไร่ละ 1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 20,000 บาทต่อครัวเรือน โดยได้จัดสรรวงเงินให้ก่อนในเบื้องต้นแล้ว จำนวน 28,046 ล้านบาท ในอัตราไร่ละ 500 บาท แก่เกษตรกรจำนวน 4,614,777 ครัวเรือน 

ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือด้านต้นทุนการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง ครม.จึงอนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 จำนวน 28,046 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยยังคงยึดหลักการเดิม คือ สนับสนุนทุนการผลิตและการดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี ในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือน ส.ค.63 – พ.ค.64 

นอกจากนี้ ครม. ยังเห็นชอบจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 188.95 ล้านบาท สำหรับโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อกของปีการผลิต 2560/61 จำนวน 2.2 แสนบาท และปีการผลิต 2561/62 จำนวน 188.73 ล้านบาท ในส่วนที่ยังไม่ได้รับการเบิกจ่าย ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่อนุมัติไว้เดิม  โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น  ซึ่งโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกและเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการดูดซับผลผลิตข้าว โดยมีปริมาณเป้าหมายรวม 5 ล้านตัน ระยะเวลา 2 – 6 เดือน รัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยผ่านธนาคารที่ผู้ประกอบการค้าข้าวเป็นลูกค้า ตามมูลค่าข้าวเปลือกที่ผู้เข้าร่วมโครงการเก็บสต๊อกไว้ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี

สำหรับวงเงินเพิ่มเติมที่ ครม. อนุมัติในวันนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

1)ค่าดำเนินการชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาเกณฑ์อ้างอิง โดยใช้แหล่งเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินเพิ่มเติมจำนวน 28,078.44 ล้านบาท จากเดิม 17,676.54 ล้านบาท รวมเป็น 45,754.98 ล้านบาท

2)ค่าใช้จ่ายในการชดเชยต้นทุนเงิน ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 2.25 วงเงินเพิ่มเติมจำนวน 631.76 ล้านบาท จากเดิม 397.72 ล้านบาท รวมเป็น 100 29.4 9 ล้านบาท

3)ค่าบริหารจัดการ ธ.ก.ส. วงเงินเพิ่มเติมจำนวน 1.09 ล้านบาท จากเดิม 21.8 ล้านบาท รวมเป็น 22.88 ล้านบาท

ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชย จนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 โดยจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรในงวดที่ 1 ครบถ้วนแล้ว และงวดที่ 2 บางส่วน สำหรับเกษตรกรที่ระบุวันคาดว่าจะเก็บเกี่ยวถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2563 จำนวน 1,429,135 ครัวเรือน เป็นเงิน 15,260.55 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86.3 ของวงเงินงบประมาณเงินชดเชยที่ ครม. เคยอนุมัติไว้เดิม 

อย่างไรก็ตาม ยังมีเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับเงินชดเชยตามสิทธิ์ สำหรับเกษตรกรที่ระบุวันคาดว่าจะเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 15 – 29 พฤศจิกายน 2563 (งวดที่ 2 บางส่วน และงวดที่ 3 – 4) อีกจำนวน 2,905,043 ครัวเรือน เป็นเงิน 26,605.61 ล้านบาท และเกษตรกรที่ระบุวันคาดว่าจะเก็บเกี่ยวหลังวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 (งวดที่ 5- 30) อีก 487,370 ครัวเรือน ผลผลิตรวม 2,894,905 ตัน คาดว่าจะใช้วงเงินงบประมาณ 3,888.82 ล้านบาท ซึ่งวงเงินชดเชยดังกล่าวอยู่ในกรอบวงเงินเพิ่มเติมที่ ครม.อนุมัติในวันนี้เรียบร้อยแล้ว จึงขอให้เกษตรกรมั่นใจว่า จะได้รับเงินส่วนต่างประกันรายได้ตามสิทธิ์อย่างแน่นอน

นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดการประชาสัมพันธ์และการดำเนินมาตรการคู่ขนานที่ควบคู่ไปกับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี63/64 อีก 3 โครงการได้แก่ 

1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ระยะเวลาดำเนินการ 1 พ.ย. 63-29 ก.พ.64 2)โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสถาบันเกษตรกร ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ต.ค. 63 – 30 ก.ย. 64 และ 3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก ระยะเวลาดำเนินการ 1 พ.ย. 63 – 31 มี.ค. 64 ให้ผู้ประกอบการเก็บข้าวไว้ระยะเวลา 2-6 เดือน และจะได้รับชดเชยดอกเบี้ย 3% ซึ่งทั้ง 3 โครงการนี้ จะสามารถดูดซับอุปทานในช่วงที่ข้าวเปลือกออกสู่ตลาดมาก เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก

นอกจากนี้ สำหรับโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 63/64 เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและกระตุ้นให้เกษตรกรดูแลรักษาข้าวให้มีคุณภาพดี ในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือนนั้น วันนี้ (1 ธันวาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้เริ่มจ่ายเงินค่าบริหารจัดการฯ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวงวดแรกไปแล้ว จำนวนกว่า 400,000 ครัวเรือน รวมเป็นเงินกว่า 1,600 ล้านบาท

อีกประการหนึ่งที่ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำคือ การส่งเสริมพัฒนาพันธุ์ข้าวและการผลิตพันธุ์ข้าว ซึ่งวันนี้ ครม. ได้อนุมัติงบประมาณ จำนวน 1,600 ล้านบาท เพื่อพัฒนาศักยภาพและปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทุกศูนย์ทั่วประเทศ