จากกรณีที่มีการเปิดเผยว่า พรรคก้าวไกล เตรียมฟ้องกลับหมิ่นประมาท หมอวรงค์ และย้ำว่าการเสนอแก้ไข ม.112 ไม่ใช่การปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน เเละการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวชี้แจงจากกรณีที่นายเเพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี เตรียมล่ารายชื่อประชาชนคัดค้านแก้กฎหมายมาตรา 112 ซึ่งเป็นญัตติที่พรรคก้าวไกลเตรียมเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยให้เหตุผลว่า การแก้ไขดังกล่าวเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เเละเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
“พรรคก้าวไกลเเละผมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรายึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราพูดเรื่องนี้ในหลายครั้งในการอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จุดยืนของพรรคเราไม่มีความคิดที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เลยสักนิดเดียว การที่นายแพทย์วรงค์ใส่ร้ายเเละแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 ต่อพี่น้องประชาชน และพาดพิงต่อพรรคก้าวไกลว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองเเละล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เรื่องที่เป็นการกล่าวข้อมูลเท็จและเป็นการหมิ่นประมาท ทำให้เสียชื่อเสียง ทำให้พี่น้องประชาชนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อพรรคก้าวไกล โดยทางพรรคก้าวไกลจึงเห็นด้วยที่จะฟ้องนายเเพทย์วรงค์ ในมาตรา 326 เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าพรรคก้าวไกล จะชี้แจงว่าไม่เคยมีเจตนาที่จะเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันหรือคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เหมือนลืมว่าเคยแสดงท่าทีอะไรไว้บ้างตั้งแต่ครั้งยังเป็นพรรคอนาคตใหม่
โดย เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 1 เป็นพิเศษ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้ลงคะแนนเพื่ออนุมัติ พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 (พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ) ซึ่งผลการลงมติมีคะแนนเสียง เห็นชอบ 376 เสียง ไม่เห็นชอบ 70 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง มีผู้เข้าร่วมประชุมสภาฯทั้งหมด 444 คน
ทั้งนี้ ในระหว่างการพิจารณา พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ได้อภิปรายไม่เห็นชอบการออก พ.ร.ก.ดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า ไม่เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่คณะรัฐมนตรีจะออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 วรรคสอง หลักการออกพระราชกำหนด และเห็นว่าควรตรวจสอบการออกพระราชกำหนดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากเมื่อเทียบกับรัฐบาลอื่นที่ผ่านมาแล้วรัฐบาลนี้ออกพระราชกำหนดถี่ที่สุดซึ่งสามเดือนที่ผ่านมาออกไปถึงสองฉบับ เกรงว่าจะเหมือนการใช้มาตรา 44 ในยุครัฐบาล คสช. จึงขอลงมติไม่เห็นชอบใน พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว
หรือกระทั่งหลังจากที่เปลี่ยนเป็นพรรคก้าวไกลแล้ว อุดมการณ์ของพรรคก็ยังเหมือนเดิม โดยเฉพาะเมื่อยามที่เหล่าแกนนำม็อบเปิดจาบจ้วงและขู่ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่ำยีหัววใจคนไทยกันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย จนจำเป็นต้องบังคับใช้ กฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งทำให้เหล่าแกนนำโดนกันไปหลายคดี งเหล่า ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่เที่ยววิ่งเต้นประกันตัวผู้ต้องหาคดี ม.112 หลายต่อหลายคน ทั้งที่มีพฤติการณ์จาบจ้าว อาฆาตมาดร้าย เป็นปฏิปักษ์กับสถาบันอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะล่าสุด ที่นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้เปิดเผยส่า พรรคก้าวไกลเตรียมยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ในฐานความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาททั้งหมด รวมถึงมาตรา 112, ร่างแก้ไข พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560, และร่างแก้ไข พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เพื่อคุ้มครองและประกันเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนตามหลักการขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งปรากฎว่ามีส.ส. ก้าวไกล 2 คนเปิดเผยว่าตนจะไม่ร่วมลงชื่อเสนอร่างดังกล่าวเด็ดขาดเนื่องจากขัดต่ออุดมการณ์ส่วนตัว ก็มีส.ส.ภายในพรรคเดียวกันออกมาโจมตีอย่างรุนแรงถึงขั้นขู่ขับออกจากพรรค
พฤตติกรรมชัดเจนขนาดนี้ ยังกล้าแถว่าไม่เคยมีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อีก อย่างนี้สำนวนไทยเขาเรียกพวกมือถือสากปากถือศีลหรอเปล่า!?