จากที่มีกรณีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 มรการร้องเรียนจาก นายมฤคินทร์ เขียนจอหอ อายุ 42 ปี ลูกชายของนางประจวบ ผะดาวัลย์ อายุ 73 ปี ผู้สูงอายุชราภาพ ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
ทั้งนี้หลังจากได้รับหนังสือขอเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่จ่ายให้กับนางประจวบฯ ผู้เป็นแม่ ย้อนหลังตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นระยะเวลากว่า 11 ปี เป็นจำนวนเงิน 76, 400 บาท และรวมดอกเบี้ยเป็นยอดจำนวน 77,737 บาท
ต่อมาวันที่ 28 มกราคม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกมากล่าวถึงการเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุ ว่า เรื่องทั้งหมดมีการจ่ายเงินซ้ำซ้อนกันเกิดขึ้น กรมบัญชีกลางเป็นผู้แจ้งมายังกระทรวงมหาดไทย หลังพบข้อมูลช่วงปลายปี 2562 ว่ามีการจ่ายเงินผู้สูงอายุซ้ำกับคนที่รับเงินอื่นๆ ไปแล้ว ซึ่งผิดระเบียบกว่า 1.5 หมื่นคน ซึ่งมีหลายกรณี
“โดยเป็นเรื่องทางกฎหมายที่ไม่สามารถทำได้ ส่วนกระแสที่เกิดขึ้นเพราะมีการไปสัมภาษณ์ผู้สูงอายุ ที่ลูกได้เสียชีวิตและเขาก็ได้รับเงินซ้ำซ้อน เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้วก็จะหาทางออกด้วยกฎหมาย โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกัน ขณะนี้เบื้องต้นเราหาทางออกด้วยวิธีเจรจา รอมชอม เพื่อให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่ทางกฎหมายได้มีคำสั่งให้หาวิธีที่เหมาะสม ต้องดูรายละเอียดกฎหมายว่าจะแก้ไขอย่างไร ในขั้นต้นท้องถิ่นใช้วิธีเจรจาไปก่อน”
วันถัดมาคือเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาเรื่องเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่มีบางจังหวัดยังมีเรียกคืนว่า ต้องดูว่ากติกา กฎหมาย และกฎระเบียบมีไว้อย่างไร ขั้นตอนวันนี้เป็นเรื่องของการทำงาน ซึ่งตนได้มอบหมายให้ไปพิจารณา การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อาจจะต้องมีการแก้ไขกฎระเบียบอะไรบางอย่าง ซึ่งอยู่ระหว่างการหารืออยู่
“ก็ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน แต่ถ้าทุกคนรู้ว่าตัวเองทำไม่ถูกก็ยกเลิกเสีย ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความไม่เป็นธรรมหรือความไม่เท่าเทียม ซึ่งทุกคนก็รู้ แต่ก็มีบางคนที่อาจจะไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ต้องพิจารณากันไปตามความเหมาะสม เรื่องนี้เป็นเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ เพราะฉะนั้นย่อมมีสองด้านเสมอ ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจด้วย เพราะหลายเรื่องก็เช่นเดียวกับกฎหมายทุกตัว เพราะตามบทบัญญัติของกฎหมายได้เขียนไว้ชัดเจนว่า คนไทยทุกคนต้องเคารพกฎหมาย แต่ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็สามารถไปต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมได้ ซึ่งเราก็พยายามแก้ไขในเชิงบริหารให้ได้ด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นั่นเองวันที่ 1 กุมภาพัน 2564 ทำให้นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวลงในทวิตเตอร์ Oak Panthongtae โดยใจความระบุว่า…
“คุณลุง-คุณป้า คุณตา- คุณยายคนชราผู้มี ความยากจนรับเงินเดือนละพัน ซ้ำซ้อนกันไม่ได้ แต่ลุงตู่คนชราผู้มีอำนาจรัฐอยู่บ้านพักนายกฯควบคู่บ้านพักทหาร ได้รับเงินเดือนกองทัพ ซ่อนกับคสช. เดือนละหลายแสนได้ อยากเป็นนายกฯของประชาชนควรทำประโยชน์ให้ประชาชนไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง”
จากนั้นวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 เฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ซึ่งเป็นสื่อที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ ใช้สื่อสารแจ้งข้อความในเรื่องการบริหารงานให้กับประชาชน ได้มีการโพสต์เนื้อหาที่สำคัญเกี่ยวกับปัญหาเบี้ยคนชราว่า
“เรื่องเบี้ยผู้สูงอายุนั้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ชัดเจนก่อน และให้ชะลอการเรียกคืนหรือฟ้องร้องเอาไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบและแก้ไขความคลาดเคลื่อนของข้อมูลต่าง ๆ กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพัฒนาสังคมที่ดูแลเรื่องผู้สูงอายุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นคนจ่ายเงิน และกรมบัญชีกลางที่ดูเรื่องการเบิกจ่ายให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทุกฝ่ายกำลังคุยกันว่าจะมีทางออกอย่างไร
ขอให้คุณตาคุณยายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมรับปากจะดูแลให้ ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านดี ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ทางเจ้าหน้าที่ก็ทำตามระเบียบ อย่างไรก็ดี ทางออกมีอยู่แล้วโดยไม่มีใครต้องเดือดร้อน รอสักหน่อยนะครับ และไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปหาเงินมาใช้คืนหลวงหรือจะต้องขึ้นศาล ผมจะจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อยครับ #ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
นอกจากนี้ในวันเดียวกัน คือวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงกรณีปัญหาผู้สูงอายุถูกเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากที่ได้รับเงินบำนาญพิเศษว่า อย่าเพิ่งตื่นตระหนก กระทรวงมหาดไทยได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ชัดเจนก่อนแล้ว และได้ให้ระงับการเรียกเงินคืนไว้ก่อน เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา ดังนั้นขออย่าตื่นตระหนกกัน ก็เห็นใจอยู่เหมือนกัน
จากนั้นเองนายพานทองแท้ ก็ออกมาโพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์ถึงเรื่องราวดังกล่าวอีกครั้งด้วยท่าทีเสียดสีนายกรัฐมนตรีว่า
“#มาช้ายังดีกว่าไม่มา ทวิตไปเมื่อวาน จนถึงวันนี้ ลุงตู่คนชราผู้มีอำนาจรัฐ เริ่มแสดงความเห็นอกเห็นใจ คุณตาคุณยาย คนชรา ผู้มีความยากจน บ้างแล้ว คิดเองทำเองสิครับ คราวหน้าทำไมต้องรอให้มีคนโวยก่อน ประชาธิปไตยคือความเสมอภาค ควรเริ่มต้นที่คนชราทุกระดับชั้นอย่างทัดเทียมกัน ครับลุง”
สำหรับนายพานทองแท้ นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าเพิ่งมีคดีความที่เกี่ยวข้องกับบาทคดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทย แม้ศาลได้ตัดสินยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่านายพานทองแท้ จำเลยได้รู้ที่มาของเงินจำนวน 10 ล้านบาท
แต่พฤติกรรมเรื่องราวของบุตรชายนายทักษิณคนนี้ก็เป็นที่พูดถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2546 นายพานทองแท้ ลูกชายของนายกรัฐมนตรีขณะนั้น จะได้ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าได้นำโพยกระดาษแอบซุกเข้ามาในห้องสอบวิชาการวิเคราะห์ ระบบการเมืองไทย หรือ PS 421ซึ่งเป็นวิชาสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 3คณะรัฐศาสตร์ สาขาการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง (มร.)
ปี 2547 เด๋อ ดอกสะเดา นักแสดงตลกได้เขียนบทและกำกับบทภาพยนตร์เรื่อง “ยอดชายนายโอ๊กอ๊าก” โดยมี นายสายันห์ ดอกสะเดา นักแสดงตลกพิการทางสมอง ซึ่งรับบทนำเป็น “โอ๊กอ๊าก” ลูกชายของ “เจ้าสัวรักสิน” ซึ่งชื่อและลักษณะตัวละครมีลักษณะล้อเลียนทางการเมืองได้สร้างความไม่พอใจกับทักษิณ ชินวัตร อย่างมากจนถูกตำรวจสันติบาลเข้ามาตรวจสอบภาพยนตร์ชุดนี้โดยอ้างว่า “อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อรัฐ”
ปี 2553 มีคดีความการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของครอบครัวชินวัตร ทั้งเรื่องราวของครอบครัวโอ๊คยังมีคดีพัวพันที่ถูกศาลตัดสินว่า “ซุกหุ้น” นี่ยังไม่นับในช่วงเวลาที่พ่อมีอำนาจรัฐได้เกิดข้อครหา และคดีความมีการใช้นโยบายของรัฐในการเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง คู่สมรส และพวกพ้อง ทั้งคดีที่พ่อโดนศาลตัดสินว่ามีความผิดอีกหลายคดีซึ่งล้วนแล้วเกี่ยวพันกับเรื่องเงินๆทองๆแทบทั้งสิ้น หรือกรณีอาสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ต้องระหกระเหินหนีตามพี่ชายไปด้วยถูกศาลตัดสินให้จำคุกจากคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
ทำไมเรื่องราวเหล่านี้โอ๊คไม่พูด หรือเรื่องราวเหล่านี้หรือไม่ที่หยิบฉวยเอาเงินภาษีของชาวบ้าน คนชราที่โอ๊คกำลังดราม่าแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อให้ได้โจมตีด่าทอพลเอกประยุทธ์ ซึ่งหากดูจากข้อเท็จจริงแล้ว ก็ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของนายกฯและทุกอย่างนั้นก็ดำเนินไปตามหลักกฎหมาย เช่นนี้เองทำให้สังคมคนไทยยิ่งเชื่ออย่างสนิทใจว่า ทำไมโอ๊คชอบใช้มือที่ไม่สะอาดเที่ยวชี้นิ้วด่าคนอื่นไปเรื่อย ทั้งที่นิ้วตัวเองสุดแสนจะสกปรก???