จากที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ออกมาไลฟ์สดทางเพจคณะก้าวหน้าในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทานฯ” พูดถึงการจัดหาและผลิตวัคซีนโควิดในประเทศไทยก่อนที่จะพาดพิงสถาบันโดยอ้างถึงการถือหุ้นบริษัทผลิตวัคซีน???
ทั้งนี้นายธนาธร พูดในประเด็น และคำถามในลักษณะโจมตีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และที่สำคัญพาดพิงกระทบไปถึงสถาบัน ซึ่งมีเนื้อหาบางช่วงระบุว่า บริษัทเดียวที่ไทยฝากความหวังไว้ก็คือ AstraZeneca ซึ่งมีการจ้างบริษัทผู้ผลิตในประเทศไทยก็คือ Siam Bioscience ไม่มีการเจรจากับบริษัทอื่นเพิ่ม จนเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา จึงมีการประกาศว่าได้มีการเจรจาซื้อวัคซีนเพิ่มกับ Sinovac ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก คือ 2 ล้านโดส เพียงพอสำหรับประชากร 1.5% เท่านั้น มีการฝากอนาคตของชาติไว้กับบริษัทรายเดียว
ล่าสุดวันนี้19 มกราคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกรทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนายธนาธร ออกมาไลฟ์วิจารณ์การนำเข้าวัคซีนที่มีการเชื่อมโยงกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ทั้งนำไปโยงกับการเมืองและใช้คำว่า วัคซีนพระราชทาน ว่า ตนถือว่าเป็นการบิดเบือน ทุกเรื่อง ทุกอย่างไม่ใช่ข้อเท็จ
“ดังนั้นขอให้ทุกคนระมัดระวังไว้ด้วยการเสนอข่าวพวกนี้ เรื่องอะไรบิดเบือนไม่ใช่ข้อเท็จจริงแล้วนำมาแพร่ไม่ว่าในสื่อหรือโซเชียลมีเดีย ตนจะให้ดำเนินคดีทุกเรื่อง จึงขอให้ระมัดระวังไว้ด้วย อย่าหาว่าตนเอากฎหมายไปขู่ แต่ต้องรักษาความเชื่อมั่นของรัฐบาลไปด้วย ไม่เช่นนั้นต่างคนก็ต่างเขียนอะไรกันไปแล้วไม่รับผิดชอบทั้งสิ้น กฎหมายมีทุกตัวอยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ขณะที่นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายธนาธร ด้วยเช่นกันว่า การจัดหาวัคซีนนายกฯย้ำอยู่เสมอว่า จะต้องเป็นไปตามขั้นตอน มีคณะกรรมการตรวจสอบ และให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนสูงสุด รวมทั้ง คนไทยทุกคนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีน ไม่เคยคิดเรื่องการเมืองเอาคะแนนนิยมใดๆ ตรงกันข้ามเรื่องชีวิตความปลอดภัยของคนไทยมีค่าสูงสุด
ดังนั้นจึงขอนายธนาธร อย่ามาพูดกล่าวหาแบบมั่วๆ และรีบสรุปในเรื่องของการนำวัคซีนเข้ามา เพราะอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ทุกอย่างต้องผ่านการรับรองว่า เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพจากต่างประเทศด้วย และทุกบริษัทก็สามารถมายื่นขอใบรับรองจาก อย.ได้ตามขั้นตอนราชการ ถ้ามั่นใจในคุณภาพของวัคซีน
ส่วนที่นายธนาธร กล่าวโยงว่า วัคซีนบางบริษัทไปเกี่ยวข้องพาดพิงกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ตนเห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ถือเป็นการไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งที่ผ่านมา สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อช่วยเหลือประชาชน และในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้พระราชทานเครื่องมือทางการแพทย์สำหรับรักษาชีวิตประชาชนทั้งประเทศมากมายนานาประการ ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สุด นายธนาธร ไม่เคยมีจิตสำนึกแม้แต่นิดเดียว อยากถามนายธนาธรฯ ว่า หัวใจยังเป็นคนไทยอยู่หรือเปล่า
“ตนจะให้ทีมฝ่ายกฎหมาย พิจารณาคำพูดของนายธนาธรฯ ว่า ส่อเจตนาจาบจ้วงสถาบัน หรือผิดกฎหมายตามมาตรา 112 หรือไม่ และได้มีการโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จต่อนายกฯ และรัฐบาล กล่าวหาแบบใส่ความ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าเนื้อหาดังกล่าวเข้าข่ายมีความผิด จะเข้าแจ้งความที่ ปอท. เพื่อดำเนินคดีกับนายธนาธร เพื่อจะได้หยุดจาบจ้วง ก้าวล่วงสถาบัน และบิดเบือนใส่ร้ายคนอื่น เผื่อคนอย่างนายธนาธร จะได้รู้จักสำนึกและเข็ดหลาบเหมือนคนอื่นเขาบ้าง
คนแบบนายธนาธร วันๆคิดแต่จะกล่าวหาคนอื่นหรือจาบจ้วงสถาบัน ตนมองว่า ไม่สมควรอยู่ในแผ่นดินไทยอีกต่อไป จะไปตายไหนก็ไป ก่อนที่คนไทยที่จงรักภักดี และปกป้องสถาบันจะทนไม่ไหว และมั่นใจว่า คนส่วนใหญ่ทั้งประเทศก็เบื่อหน่าย ไม่อยากต้อนรับนายธนาธร เพราะเห็นได้จากนายธนาธรฯ เดินทางไปจังหวัดใด ก็มีแต่ประชาชนออกมาขับไล่ตลอด” นายสุภรณ์กล่าว
นอกจากนี้ นายสุภรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ในขณะที่สถานการณ์ประเทศกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ไม่มีใครคิดที่จะมาเล่นการเมืองเพื่อหวังคะแนนนิยมจากประชาชน หากจะมีคงเป็นนายธนาธรฯ มากกว่า ที่ออกมาพูดเพื่อหวังตีกินทางการเมือง โดยไม่สนใจประเทศชาติและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนในขณะนี้