จากกรณี เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า “สภาควรปิดประชุมมั้ย? สภาคือที่รวมของ ส.ส.500 + ส.ว.250 = 750 คน +ผู้ติดตาม 1,500 + คนขับ 750 + จนท 5,000 + คนงานก่อสร้าง 3,000 คน คำตอบ=ต้องปิดครับ
ต่อมา มีรายงานว่า สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้ส่งข้อความถึงสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ถึงแนวทางการประชุมในช่วงที่โควิด-19 ระบาด ว่า จากผลการประชุมร่วมกันของประธานวุฒิสภา, ประธานสภาผู้แทนราษฎร, วิป 3 ฝ่าย และหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เมื่อวานนี้ (4 ม.ค.) ประธานวุฒิสภาจึงเห็นสมควรให้งดการประชุมวุฒิสภาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ถึงวันอังคารที่ 12 ม.ค. จากนั้นจะประเมินสถานการณ์ว่าสมควรจะงดประชุมต่อไปอีกหรือไม่ โดยจะพิจารณาจากแนวทางการจัดประชุมของสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วย
ต่อมา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ นายแพทย์สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลเสนอให้มีการประชุมสภาฯ ว่า หากมีการประชุมสภาในช่วงนี้แล้วมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19ใครจะรับผิดชอบ โดยระบุว่า สิ่งที่คุณหมอสุกิจกังวล เป็นความกังวลเดียวกันของทุกคนขณะนี้ แต่เราจะละเลยการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประชาชนในยามที่ประชาชนต้องการที่พึ่งเช่นนี้ไม่ได้
การเปิดประชุมสภาในสถานการณ์การของโรคระบาดรวมไปถึงสถานการณ์ใดก็ตามที่ไม่สามารถรวมตัวกันได้ เราจะต้องทำให้มีการเปิดประชุมออนไลน์อย่างมีศักยภาพ ซึ่งเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลได้พยายามเสนอแก้ไขข้อบังคับการประชุมสภาให้สามารถประชุมออนไลน์ได้ตั้งแต่ปีก่อน แต่จากหนังสือด่วนที่สุดเลขที่ “สผ 0014/4812” ลงวันที่ 1 มิ.ย. 63 ตอบกลับจากสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนฯ รับแจ้งว่า คุณชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ใช้อำนาจของประธานสภาตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการวินิจฉัย ว่าญัตติที่พวกเราได้เสนอให้เป็นเรื่องด่วน “เรื่อง ขอให้สภาฯ ตั้งกมธ.วิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขข้อบังคับฯ เพื่อการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์” ให้กลายเป็น เรื่องไม่ด่วนนั้น
นี่คือผลของการที่พรรคก้าวไกลพยายามผลักดันและเสนอวิธีการรับมือเพื่อให้การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสามารถดำเนินการได้ไม่ว่าต้องเจอกับวิกฤตใด แต่เมื่อประธานมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เรื่อง ด่วน ก็ไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้างว่าการประชุมผ่านสื่ออิเลคทรอนิกส์ยังทำไม่ได้ในเวลานี้ เพราะไม่งั้นต้องถามต่อว่าใครกันที่ทำให้เรื่องนี้ยังทำไม่ได้ หรือใครกันแน่ที่ยังพยายามไม่พอ และอย่าอ้างว่าคาดไม่ถึงว่าจะมีโรคระบาดอีกระลอก เพราะเรื่องนี้ผู้เชียวชาญทางการแพทย์ก็เตือนมาตลอด ตราบใดที่ทั่วโลกยังไม่หยุดการระบาดประเทศไทยคงเลี่ยงระลอกสองไม่ได้ และในขณะที่อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการยังคงทำงานได้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่พวกเราในฐานะตัวแทนอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องพยายามหาข้ออ้างต่างๆนานาเพื่อหยุดการทำงานของตัวเอง
“เราเป็นตัวแทนของประชาชนต้องพยายามหาทางทำงานให้ประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้เสียเวลาไปด้วยการนั่งมองปัญหาอยู่ที่บ้าน ส่วนกรณีที่หมอสุกิจยกตัวอย่างที่ประชุมอนุกรรมาธิการ การพนันออนไลน์ที่ส.ส.ก้าวไกลเป็นประธานแล้วมีผู้ติดเชื้อโควิคเข้ามาประชุม ประเด็นนี้ผมอยากฝากไปยังประธานสภา ทดสอบเครื่องตรวจด่านหน้าของสภาดูอีกทีว่าเพียงพอหรือไม่ มีประสิทธิภาพแค่ไหน อย่างไรก็ตาม เหตุเกิดตอนนั้น อยู่ในช่วงต้นของสถานการณ์ ยังไม่รู้แน่ชัดว่าการระบาดไหนจุดไหน ร้ายแรงอย่างไร แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็พิสูจน์ให้เห็นว่า การรู้เหตุเร็ว พวกเราและผู้เกี่ยวข้องก็สามารถนำมาตรการที่วางเอาไว้มาใช้อย่างทันท่วงที ไม่มีใครติดเชื้อเพิ่ม ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้คือ เมื่อรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ก็แก้ไขตรงนั้น ไปพยายามมองหามาตราการมารองรับและแก้ไขอย่างที่ทั่วโลกทำกัน ไม่ใช่อ้างกลัวว่าจะมีใครติดหรือเชื้อ เวลานี้ ส.ส.กลัวไม่ได้ เพราะประชาชนคงกลัวยิ่งกว่าเรามาก พวกเขากลัวอดตาย อยากให้มองกันด้วยความเป็นจริง เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้มีร่างกฎหมายหลายตัวที่เกี่ยวกับปากท้องของเขากำลังรอการแก้ไขอย่างเร่งด่วนอยู่ ”
ขณะที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยระบุว่า เป็นอีกครั้งที่สถานการณ์ในประเทศย่ำแย่ลง โดยที่ประชาชนทั้งประเทศต่างตระหนักรู้กันดีว่าไม่ได้เกิดจากการที่พวกเขาการ์ดตก แต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเองที่หละหลวมซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความรับผิดชอบใด ๆ รวมถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กลับทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมด้วยการกล่าวโทษทั้งแรงงานข้ามชาติและประชาชนว่าเป็นใจกลางของปัญหา ขณะที่นายกรัฐมนตรีไม่เคยมองเห็นความผิดพลาดของตนเองเลย
ล่าสุดที่วิปรัฐบาลมีมติให้ปิดการประชุมรัฐสภาเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์นั้น พรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติจะหยุดชะงักไม่ได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์คับขันของประเทศชาติที่กำลังต้องการมาตรการที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ เวลานี้ต้องบอกว่าประชาชนกำลังหมดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อรัฐบาลอย่างถึงที่สุดแล้ว ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนจึงจำเป็นมาก เพื่อจะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและทวงถามถึงความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารต่อปัญหาที่พวกเขาละเลย ไม่ว่าต้นเหตุของความย่อหย่อนที่ต้องค้นหาความจริงว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างชาติ หรือใครบ้างที่เปิดทางให้มีบ่อนเกิดขึ้นทั่วภาคตะวันออกซึ่งเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อว่า ผู้นำประเทศและพี่น้องจากค่าย ‘บูรพาพยัคฆ์’ ผู้พิทักษ์ชายแดนตะวันออกของเรานั้นจะไม่สามารถเอาผิดเจ้าของบ่อนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้แม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ หากสภายังคงเปิดเพื่อให้ ส.ส.ได้ทำหน้าที่ การพิทักษ์รักษาผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนก็จะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น
“เข้าใจดีว่าหลายคนกำลังห่วงเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด พรรคก้าวไกลจึงมีข้อเสนอให้สภาเปิดการประชุมแบบ social distancing ด้วยการให้แต่ละพรรคส่งตัวแทน ส.ส.ส่วนหนึ่งมาประชุมให้จำนวนเพียงพอครบองค์ประชุมและให้นั่งห่างกัน จุดประสงค์เพื่อให้ที่ประชุมสามารถแก้ข้อบังคับให้ประชุมออนไลน์ได้ เพราะในขณะนี้มีกฎหมายสำคัญและเป็นความหวังอย่างยิ่งต่อพี่น้องประชาชนที่จ่อคิวรอให้สภาแก้อย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือปัญหาโควิดให้ได้อย่างทันท่วงที เช่น การแก้ พ.ร.ก.soft loan เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ เพื่อพยุงธุรกิจหรือพยุงการจ้างงานได้ ซึ่งเรื่องนี้จริงๆควรจะได้รับการแก้ไขตั้งแต่ปีที่แล้ว นอกจากนี้ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณา ร่างพ.ร.บ.โอนงบประมาณ หรือเกลี่ยก่อนกู้กันอีกครั้งเพื่อให้มีเงินนำมาใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในสถานการณ์แบบนี้”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงกรณีนายณัฐชา ระบุการงดประชุมสภาเป็นเพราะเปิดสภาไม่ได้หรือยังพยายามไม่มากพอ ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าเปิดประชุมสภาไม่ได้ เพราะถ้าจะเปิดเมื่อไหร่ก็เปิดได้อยู่แล้ว แต่เรื่องงดการประชุมเกิดจาก ส.ส.เอง โดยประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาขอให้หยุดการประชุมไว้ก่อน เนื่องจากการระบาดของโควิด -19 และเป็นความเห็นส่วนใหญ่ของที่ประชุมร่วมกันกับประธานสภาที่เห็นว่าให้งดประชุมในช่วงนี้ไปก่อน บางคนให้งดประชุม 1 เดือน บางคนให้งดประชุมสองสัปดาห์ ประธานสภาก็ตัดสินใจให้งดประชุมสภา 2 สัปดาห์ แล้วดูสถานการณ์อีกครั้งจากนั้นจะเชิญวิปทั้ง 3 ฝ่ายมาหารือว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะสถานการณ์โควิด เรายังไม่สามารถทำนายได้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ น่าเสียดายที่นายณัฐชาไม่มาร่วมประชุมด้วยจึงไม่ทราบว่าเขามีความเห็นอย่างไรกัน ดังนั้น ขอให้จบ ไม่ต้องมาดรามากันอีกแล้ว
นพ.สุกิจกล่าวต่อว่า ส่วนที่พรรคก้าวไกลได้เสนอญัตติด่วนให้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางแก้ข้อบังคับให้ประชุมผ่านอิเล็กทรอนิกส์ได้นั้น นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาคนที่ 2 พิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่เข้าข่ายเป็นญัตติด่วนแล้วได้แจ้งให้ผู้เสนอญัตติทราบตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว ทำไมเพิ่งมาพูดตอนนี้