ธปท.ชี้ไตรมาส 2 จีดีพีติดลบ 12.2% ทั้งปีติดลบ 7.8% ถือเป็นผ่านจุดต่ำสุดแล้ว จะทยอยปรับตัวดีขึ้นช่วง 6 เดือนหลัง ฐานะคลังยังแกร่ง 2.65 แสนล้านบาท ขณะที่ ฝายวิจัย ซีไอเอ็มบีไทย มองไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่ห่วงประเด็นการเมืองถ้ายืดเยื้ออาจส่งผลกระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจช้ากว่าที่ควรเป็น
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 2563 ติดลบที่ 12.2% เทียบกับรอบเดียวกันของปีก่อน ติดลบที่ 9.7% เป็นการหดตัวสูงในเกือบทุกองค์ประกอบ ยกเว้นรายจ่ายภาครัฐ เมื่อเทียบกับการประมาณการล่าสุดของ ธปท.เดือนมิถุนายน 2563 ถือว่าหดตัวน้อยกว่าที่ประเมินไว้ ผลจากการบริโภคเอกชน และการสะสมสินค้าคงคลังเป็นสำคัญ แต่ในภาพรวมถือว่าไม่ผิดจากที่คาดนัก และแสดงว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 จากนี้จะทยอยปรับดีขึ้นในระยะข้างหน้า
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยระดับเงินคงคลังของรัฐบาลยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หรือกว่า 265,000 ล้านบาท
กรณีสำนักงานสภาล่าสุดพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสสองขยายติดลบ 12.2% และคาดการณ์ทั้งปีจะขยายตัวติดลบ 7.8% นั้น การขยายตัวของจีดีพีดังกล่าว อยู่ในระดับที่ สศค.ประเมินไว้ ทั้งนี้ มีความแตกต่างในเรื่องการส่งออกที่สศค.ประเมินจะติดลบ 11% แต่สภาพัฒน์ประเมินติดลบ 10% แสดงให้เห็นว่า เป็นการประเมินตามสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งในเดือนหน้าจะเป็นการประเมินโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในเดือนต.ค.จะเป็นรอบการประเมินของ สศค.
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเริ่มเห็นการขยายตัวแบบช้าๆ ช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนมุมมองเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีนี้ที่คาดไว้ -8.9% ต่างจากสภาพัฒน์ไม่มากนัก เดือนหน้าอาจประเมินอีกครั้งโดย รอดูตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือนต้นไตรมาสสามและนโยบายเศรษฐกิจ ประกอบกับ ความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการชุมนุมประท้วง เป็นปัจจัยที่ให้น้ำหนัก
มองไปข้างหน้า เมื่อหลายประเทศเริ่มเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จะเริ่มมีการสั่งซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น การส่งออกน่าจะดีขึ้น หรือติดลบจากปีก่อนน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร และสินค้าเกษตรน่าจะขยายตัวได้เร็วกว่ากลุ่มอื่น ขณะที่กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนอาจฟื้นตัวช้าจากกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่างประเทศที่ยังคงอ่อนแอ
ด้านการผลิตในภาคส่วนต่างๆ เริ่มมีกำลังการผลิตดีขึ้น การจ้างงานและการขยายชั่วโมงการทำงานจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับขณะที่กลุ่มธุรกิจเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวช้า แม้นักท่องเที่ยวในประเทศจะเพิ่มขึ้น แต่ไม่อาจชดเชยการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ และอาจกระจุกตัวใน จังหวัดรอบๆ กรุงเทพมากกว่าจังหวัดท่องเที่ยวในภูมิภาคอื่น
สำหรับปัจจัยการเมืองมีผลต่อเศรษฐกิจผ่านความเชื่อมั่นผู้ลงทุนและผู้บริโภค ในอดีต ช่วงที่ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น การประท้วง การรัฐประหาร และการเลือกตั้ง เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลลบมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจกระจายตัวในหลากหลายอุตสาหกรรม และมีเมืองเศรษฐกิจและท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆช่วยลดผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองในกรุงเทพ เสมือนสารเทฟล่อนที่ช่วยเคลือบกระทะ ทำให้เวลามีความไม่แน่นอนต่างๆ เศรษฐกิจไทยไม่สะดุด วารสารดิอิโคโนมิสต์จึงเคยเรียกเราว่า เทฟล่อนไทยแลนด์ เมื่อราวสิบกว่าปีก่อน
“เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงวันนี้ แม้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบรุนแรงจากเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทะที่เรายังใช้กันแม้จะเก่าและเป็นรอย แต่ผมมองว่าสารเทฟล่อนยังใช้การได้ ผมเชื่อในการปรับตัวของเอกชนไทย แม้เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจหรือการเมือง จะหาทางรอดได้เสมอ นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มเติม อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยยังมีคนที่มีกำลังซื้ออยู่มาก ผมมองว่าสารที่จะช่วยชดเชยสารเทฟล่อนที่เสื่อมลง น่าจะเป็นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจหรือมาตรการดึงเงินจากคนชั้นกลางขึ้นไปให้มาช่วยพยุงเศรษฐกิจได้
ส่วนปัจจัยการเมืองหากมีความวุ่นวาย ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนคือ คนจะระมัดระวังการใช้จ่ายและการเดินทางไปสถานที่แหล่งชุมชน และหากปัญหาบานปลายรุนแรงขึ้น อาจกระทบต่อภาคการผลิตที่อาจลดชั่วโมงการทำงานหรือเลิกจ้างพนักงาน ปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินก็จะตามมา และลามไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจที่โตช้าลากยาว
นอกจากนี้ คนในสังคมขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมเนื่องจากยังเคลือบแคลงและไม่ได้รับความชัดเจนในการพิจารณาคดี โดยเฉพาะหลายกรณีที่ผู้มีฐานะในสังคมมักพ้นผิดทางกฏหมาย อาจกระทบต่อการเข้ามาลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติแต่ถ้าเศรษฐกิจสามารถปรับตัวได้อย่างเทฟล่อนไทยแลนด์ เศรษฐกิจจะยังคงประคองตัวอยู่ได้ และอยากให้เราใจเย็นๆก่อนนะครับ เพราะการประท้วงหรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ อาจไม่รุนแรงและอยู่ในขอบเขต ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่มาก เพราะผมเชื่อว่าแต่ละคนจะเข้าใจสถานการณ์และปรับตัวได้ และท้ายสุด มาตรการทางการเงินและการคลังก็จะออกมารองรับและประคองเศรษฐกิจได้ เศรษฐกิจไทยจีงไม่น่าจะหดตัวแรงดังเช่น Q2 แต่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด” ดร.อมรเทพ กล่าว