น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยถึงกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้าออกมาแสดงความเห็นการนำมาตรา 112 มาบังคับใช้นั้นเป็นการราดน้ำมันบนกองไฟว่า
ใครกันแน่ที่กำลังราดน้ำมันบนกองไฟ พฤติกรรมนี้น่าจะมาจากกลุ่มบุคคลที่คอยฉกฉวยผลประโยชน์จากการชุมนุม โดยเฉพาะการวางแผนให้กลุ่มผู้ชุมนุม เล่นเอาล่อเอาเถิดเคลื่อนไหวไปในสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์และการแสดงออกที่เข้าข่ายคุกคาม อาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันมากกว่า ซึ่งส่งผลให้กลุ่มประชาชนผู้จงรักภักดี เกิดความไม่สบายใจ และทนไม่ไหว ไม่ได้เกี่ยวกับการนำประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาบังคับใช้ ซึ่งเป็นปลายเหตุแต่อย่างใด
“นายธนาธรไม่ควรเบี่ยงเบนประเด็นใส่ร้ายว่ามาตรา 112 เป็นชนวนเหตุ เช่นเดียวกับที่นายธนาธรมักจะอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ทั้งที่นายธนาธรรู้ตนเองดีว่ากระทำผิดกฎหมายในการถือครองหุ้นสื่อ ให้เงินกู้ผิดกฎหมายกับพรรค เป็นต้น”
จะเห็นว่าวันนี้มีสัญญาณจากเยาวชนผู้เป็นอนาคตของชาติอาจรู้ทันกลุ่มปลุกปั่นล้มล้างสถาบันหรือกลุ่มการเมืองที่คิดสร้างความวุ่นวาย จึงเปลี่ยนสถานที่ชุมนุม เพราะเลี่ยงที่จะไม่สุ่มไฟความรุนแรงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่าการกำหนดเป้าหมายในการเคลื่อนไหว สะท้อนความพยายามที่จะยั่วยุปลุกปั่นให้ประชาชนผู้จงรักภักดีเกิดความไม่พอใจ โดยหวังให้เกิดความรุนแรง จะได้เป็นข้ออ้างให้นักการเมืองบางกลุ่มขอลี้ภัยไปต่างประเทศ เพื่อหลบหนีคดีอาญา ในขณะที่กระแสสังคมไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้าจนเกิด แฮชแท็ก #ไม่เอาทุกม็อบ
ในโลกโซเชียลติดเทนด์ทวิตเตอร์ และความพยายามเตือนให้กลุ่มประชาชนปกป้องสถาบันอยู่ในที่ตั้ง ไม่ออกมาเคลื่อนไหว เพราะเสี่ยงต่อกรณีที่อาจมีผู้ไม่หวังดี สร้างสถานการณ์ ที่สำคัญคณะกรรมการสมานฉันท์ อันเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางทางการเมืองกำลังเริ่มเดินหน้า โดยมีการประกาศโครงสร้างของคณะกรรมการออกมาแล้ว ซึ่งมีโควตาตัวแทนของกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย ฉะนั้นควรยุติความขัดแย้งด้วยกระบวนการเจรจาจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนมากกว่า