ปธน.ทรัมป์ เตรียมถอนทหารจากอัฟกานิสถานและอิรักภายในสัปดาห์นี้ให้เหลือเพียงแหล่งละ 2,500 คน ขณะที่ปล่อยข่าวจะถล่มโรงเก็บอาวุธนิวเคลียร์อิหร่านในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เพื่อจุดชนวนปัญหาร้ายแรงทิ้งให้ไบเดนตามแก้ หรือถึงขั้นเกิดปัญหาจนไม่สามารถถ่ายโอนอำนาจได้ ทั้งนี้อาจเป็นการสะท้อนว่า ทรัมป์เริ่มยอมรับความจริงว่าแพ้แต่ยังปากแข็ง และเร่งทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนหาเสียงปี 2016 สั่งทิ้งทวนก่อนหมดอำนาจ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จำนวนทหารที่ระดับ 2,500 นายสอดคล้องกับที่นายโรเบิร์ต โอไบรอัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของปธน.ทรัมป์เปิดเผยเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า กองกำลังทหารของสหรัฐในอัฟกานิสถานจะลดลงเหลือประมาณ 2,500 นายภายในต้นปี 2564 โดยในปัจจุบัน มีกองกำลังทหารสหรัฐประมาณ 4,500 นายในอัฟกานิสถาน และ 3,000 นายในอิรัก
รายงานดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่มีการสั่งปลดนายมาร์ก เอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมประกาศแต่งตั้งนายคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาการรมว.กลาโหมแทนนายเอสเปอร์
ทั้งนี้ สหรัฐลงนามข้อตกลงสันติภาพกับกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถานเมื่อเดือนก.พ.2563 ที่ผ่านมา โดยมีการเรียกร้องให้สหรัฐถอนทหารทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพ.ค. 2564 หากกลุ่มตาลีบันปฏิบัติตามเงื่อนไขของข้อตกลง รวมถึงการตัดความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เฉพาะสงครามในอาฟกานิสถานกินเวลาถึง 19 ปี สหรัฐผลาญงบประมาณไป 193,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในการเลือกตั้งปี 2016 ทรัมป์ได้หาเสียงให้สัญญาว่าจะยุติสงครามที่ไม่รู่จุดจบ และเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมาได้ทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า ทหารอเมริกันที่ตะวันออกกลางจะได้กลับบ้านคริสต์มาสปีนี้
นิวยอร์ก ไทม์สรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้พิจารณาแผนการที่จะโจมตีสถานที่หลักทางด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หลังจากหารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในการประชุมกับที่ปรึกษาของเขาที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า บรรดาที่ปรึกษาของปธน.ทรัมป์ซึ่งประกอบด้วยนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ, นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ, นายคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ รักษาการรัฐมนตรีกลาโหม และนายมาร์ก เอ. มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วม ได้พยายามโน้มน้าวไม่ให้ปธน.ทรัมป์โจมตีอิหร่าน โดยแสดงความกังวลว่า การโจมตีอิหร่านจะทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์จะสิ้นสุดลง
หลังจากที่สื่อสหรัฐรายงานว่านายไบเดนชนะการเลือกตั้ง แม้ว่ายังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการก็ตาม ปธน.ทรัมป์ก็มีการเคลื่อนไหวใช้อำนาจบริหารติดๆกันในหลายๆเรื่อง ก่อนหมดอำนาจในอีกสองเดือนข้างหน้า
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา คณะบริหารของทรัมป์ ได้ใช้นโยบายกดดันอิหร่านอย่างหนักหน่วง เริ่มจากการประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ซึ่งเป็นผลงานการทูตชิ้นโบแดงของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และรื้อฟื้นบทลงโทษทางเศรษฐกิจต่อบุคคลและองค์กรต่างๆ ของสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้
เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้สั่งให้กองทัพอเมริกันส่งโดรนติดอาวุธไปสังหาร พล.อ.กาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการหน่วยคุดส์ (Quds) ของอิหร่านที่สนามบินในกรุงแบกแดด แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆที่จะกระพือความขัดแย้งมากไปกว่านั้น และยังพยายามรักษาสัญญายุติ “สงครามไม่มีวันจบ” ด้วยการนำทหารอเมริกันกลับบ้าน ทั้งนี้ การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์หลักของอิหร่านที่เมืองนาตันซ์ (Natanz) อาจจุดชนวนความตึงเครียดครั้งใหญ่ในตะวันออกกลาง และยังเป็นการทิ้งปัญหาร้ายแรงในด้านนโยบายต่างประเทศให้กับรัฐบาลไบเดนได้ โชคดีที่เปลี่ยนใจ