จากกรณีเมื่อวันที่ 19 ต.ค.63 ที่ผ่านมา หลังจากที่ทวิตเตอร์ @Thavisin ของนายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้โพสต์จดหมายเปิดผนึกถึงองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
โดยเขียนข้อความว่า จดหมายเปิดผนึกจากผมถึงยูนิเซฟ “ที่จะส่งถึงมือภายใน 10.30 วันนี้ เพื่อเรียกร้องให้ @UNICEF_Thailand แถลงการณ์อย่างเป็นทางการเน้นย้ำกับรัฐบาลมิให้ใช้กำลังในการปราบปรามผู้ชุมนุมที่มีเด็กและเยาวชน ”
พร้อมทั้งแนบภาพจดหมายเปิดผนึกทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีใจความว่า ถึงนายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ระบุว่า จากเหตุการณ์รัฐบาลใช้มาตรการที่ค่อนข้างจะรุนแรงในการเข้าสลายและปราบปรามการชุมนุมบริเวณพื้นที่สี่แยกปทุมวันเมื่อวันศุกร์ ที่ 16 ต.ค. 28563 ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วยประชาชนจำนวนมากรวมถึงเด็กและเยาวชนด้วย ทำให้ข้าพเจ้าในฐานะหนึ่งในพันธมิตรของยูนิเซฟที่มีโอกาสทำงานด้านสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชนร่วมกับยูนิเซฟมาเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี รู้สึกมีความกังวลใจในเหตุการณ์ดังกล่าว และมีความจำเป็นต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ถึงทางยูนิเซฟ โดยข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเจตนาของจดหมายฉบับนี้มิได้ต้องการแสดงความเห็นทางการเมืองหรือให้การสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด
ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่ายูนิเซฟต้องระมัดระวังการออกมาแสดงความเห็นใจสถานการณ์ขณะนี้ และอาจมีความกังวลจากการถูกติติงหรือโจมตีจากฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนเงินบริจาค แต่สิ่งสำคัญที่สุดในสถานการณ์ ณ ขณะนี้คือทุกฝ่ายต้องมองให้ตรงกันว่าเรื่องของสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน และเรื่องของทัศนคติความเห็นต่างทางการเมืองเป็นสองเรื่องที่ต้องถูกแยกออกจากกันให้ชัดเจน
ต่อมาทางด้านลูกบ้านในโครงการของแสนสิริ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึก ถึง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ระบุข้อความว่า
เรียนบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
ประธานคณะกรรมการกํากับดูแลกิจการ (กรรมการอิสระ) นาย อภิชาติ จูตระกูล,
ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ (กรรมการอิสระ) นาย เจษฎาวัฒน์ เพรียบจริยวัฒน์,
เลขานุการบริษัท(สํานักเลขานุการบริษัท/สํานักกฎหมาย)
สืบเนื่องจากจดหมายที่ถูกส่งไปยัง Unicef โดยเป็นจดหมายเปิดผนึก ลงนามโดย นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ เพื่อให้ Unicef ออกแถลงการกลับมายังรัฐบาล เป็นการกระทำที่อาขัดต่อนโยบายต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชั่นของบริษัทแสนสิริ
(https://www.sansiri.com/pdf/sustainability/01-Sansiri-Anticorruption-Policy-TH.pdf)
ในข้อ 4.4 ว่าด้วย “บริษัทดําเนินธุรกิจด้วยความเป็นกลางทางการเมือง ไม่เข้าไปมีส่วนร่วม และไม่ฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด นักการเมืองคนใด หรือผู้มีอํานาจทางการเมืองคนใด และบริษัทไม่นําเงินทุน หรือทรัพยากรใด ๆ ของบริษัทไปใช้ เพื่อสนับสนุนพรรคการเมือง หรือนักการเมือง หรือผู้มีอํานาจทางการเมือง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมทั้งสิ้น
ทั้งนี้ บริษัทกําหนดแนวปฏิบัติห้ามมิให้ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ใช้ตําแหน่ง หน้าที่ ทรัพย์สิน เวลา หรือส่ิงอํานวยความสะดวกใด ๆ ของบริษัท เพื่อเอื้อประโยชน์ หรือสนับสนุนกิจกรรมใด ๆ ทางการเมือง หรือ องค์กรการเมือง หรือสมาชิกขององค์กรการเมือง ตลอดจนห้ามมิให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ใช้อํานาจหน้าที่ เพื่อชี้ชวน กดดัน หรือบังคับให้เพื่อนร่วมงาน รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชา ให้การสนับสนุนกิจกรรมใด ๆ ทางการเมือง”
การกระทำดังกล่าว จดหมายเปิดผนึก ลงนามโดย นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ ได้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจน โดนถูกนักการเมืองท่านหนึ่งได้นำไป รีโพสต์ มีผู้มาแสดงความคิดเห็น ทางการเมือง และชุมนุมอย่างชัดเจนเช่นกัน ทั้งนี้เมื่อย้อนอดีตกลับไป
1 เดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักเรียนอนุบาล ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งถูกทำร้ายร่างกาย และจิตใจอย่างรุนแรง ทางบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) มิได้ออกมาแถลงการณ์ใดๆ ดังที่ควรจะทำเนื่องจากเป็นถึงพันธมิตรของ Unicefหลายปีก่อนหน้า ในขณะที่กปปส. นปช. ก็มีกลุ่มนักเรียน นักศึกษา สถาบันอาชีวะเข้าร่วม และโดนรัฐบาลปราบปรามด้วยความรุนแรง ทางบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) มิได้ออกมาแถลงการณ์ใด ๆ
เหตุใดผู้บริหารของแสนสิริ มักทราบดีอยู่แล้ว และมีการแสดงออกที่ชัดเจนว่า การชุมนุมประท้วง ณ ขณะนี้มีการล้วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่อยู่ด้วย มีการคุกคามสิทธิเสรีภาพ การแสดงออกความคิดเห็น ถึงตัวดารา นักร้อง พิธีกร และประชาชนทั่วไปที่เห็นต่างอย่างเปิดเผย
ขอให้ประธานประธานคณะกรรมการกํากับดูแลกิจการ (กรรมการอิสระ) ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ (กรรมการอิสระ) ได้ตรวจสอบ พิจารณาบทลงโทษ (หากมี) และชี้แจ้งต่อสาธารณชนให้ทราบโดยทั่วกัน จึงเรียนมาเพื่อทราบ
อย่างไรก็ตามทางด้านเจ้าของจดหมายเปิดผนึก ที่เป็นลูกบ้านในโครงการเครือข่ายของแสนสิริ ได้เปิดใจกับทางกองบรรณาธิการเพิ่มเติมด้วยว่า การที่นายเศรษฐาออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรจากการประกาศจุดยืนที่ร่วมสนับสนุนม็อบล้มล้างสถาบันฯ เพราะที่ผ่านมาจากหลาย ๆ ม็อบที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น คุณเลือกที่จะนิ่งเฉย แม้แต่ประเด็นที่เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมที่มากกว่านี้ ทางโครงการก็นิ่งเฉย แต่กลับออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้กลุ่มที่ชุมนุมขัดต่อกฎหมาย และมีเป้าหมายล้มล้างสถาบันฯ ซึ่งเกิดผลกระทบทางจิตใจ ของคนที่รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์