ศปปส. ชี้สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนก้าวไกลให้เป็นแค่นักเลือกตั้ง อยู่กันไม่นานก็เผยธาตุแท้แล้ว

21063

จากที่เฟซบุ๊ก ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง ดูท่าแล้วจะเปลี่ยนแปลงกันจริงๆ อยู่กันก้นหม้อยังไม่มันดำก็เผยธาตุแท้ให้เห็นกันแบบไม่เกรงใจกันแล้ว

14 ล้านเสียงจากจำนวนคนมีสิทธิเลือกตั้ง 52 ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกล ไม่ใกล้เคียงอะไรกับคำว่าแลนด์สไลด์ เพราะแค่ครึ่งเดียวยังไม่ถึง ยังไม่ต้องพูดถึงการเป็นตัวแทนคนทั้งประเทศ 66 ล้านคน

ข้อจริงมีอยู่ประเด็นเดียวคือ เป็นพรรคที่ได้รับเลือกมามากเป็นอันดับ 1 ซึ่งมารยาททางการเมืองพรรคอื่นๆ จึงให้สิทธิจัดตั้งรัฐบาลก่อน ถ้าจัดไม่ได้ก็เป็นสิทธิของพรรคอันดับ 2 หรืออาจเป็นพรรคอื่นๆ ที่มีศักยภาพจัดได้ ก็ไม่ได้ผิดกติกาอะไร

แต่ที่ต้องเอาข้อมูลมากางกันให้เห็น ให้ด้อมส้ม ติ่งส้ม ทำใจกันและค่อยๆเรียนรู้กันไปก็คือ การเมืองก่อนเลือกตั้งกับหลังเลือกตั้ง มันเป็นคนละเรื่อง

นโยบายขายฝัน หลอกล่อเอาคะแนนเสียง เป็นเรื่องปกติถ้า ได้รับเลือกเข้ามาแล้วทำไม่ได้ เขาก็จะโทษว่า ด้อมส้ม ลูกส้มไม่เลือกเราให้แลนด์สไลด์ให้ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ มันก็เลยต้องปรับนโยบายจากทะลุฟ้า เหลือต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เมื่อเป็นรัฐบาลผสม

คือ คนที่มีประสบการณ์การเมืองมานาน มองยังไงๆ ฉากทัศน์การเมืองไทย ก็ยังไม่มีทางเป็นรัฐบาลพรรคเดียว แต่พวกด้อมส้ม ติ่งส้ม โดน AI สะกดจิต ก็เลยกลายเป็นสาวกที่ไม่เคยตั้งคำถามว่านโยบายขายฝัน จะไปได้สุดแค่ยอดมะพร้าว

สุดท้ายก็เลยค่อยๆเห็นนิสัย ธาตุแท้ของพรรคเทพบุตร เทพธิดา ว่า แท้จริงก็เป็นแค่นักเลือกตั้ง

เริ่มแค่นโยบาย แก้ ม.112 พรรคก้าวไกล ก็ออกอาการเท เป็นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงจริงๆ โดยวันนี้การไม่เอาไปใส่ไว้ใน MOU พรรคร่วมรัฐบาล ก็อย่าไปหวังว่า ที่บอกจะให้ไปพูดคุยในสภา แล้วจะมีการแก้ไข นั้นจะเกิดขึ้นจริง  สุดท้ายมันเป็นแค่เทคนิคตีกรรเชียง ก็ในเมื่อช่วงฮันนีมูน จะเอาดาวเอาเดือน ก็ย่อมได้ แต่ไม่ยืนยันผลักดัน จะไปหวังอะไรเมื่อหมดช่วงโปรโมชั่น ดังนั้นไม่แปลกใจที่กองเชียร์ตัวพ่อตัวแม่ เจ้าสำนักคิดหลายคนเริ่มออกมาเหน็บ ไม่ว่าจะเป็นสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือ บรรดากองเชียร์ฝั่งทะลุ ที่ติด #112ไม่แก้ไม่มีกู

ประเด็นที่ชัดเจนถึงความกระสันในอำนาจ อ้างประชาธิปไตยตามใจฉันก็คือ การดีลลับหาคะแนนโหวตให้ “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องใช้เสียงสมาชิกรัฐสภาถึง 376 เสียง

กติกานี้ฉากทัศน์นี้ อย่าบอกว่าแกนนำก้าวไกลไม่รู้ว่าจะต้องเจอหลังเลือกตั้ง ฟันธงว่า ทุกคนรู้แต่เพราะการเป็นพรรคที่โตมาจากการปั่นกระแสก็เลยคิดเอาว่า ถึงเวลานั้นก็ไปปั่นกระแสเอาอีกที ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวาทกรรม ความต้องการของประชาชน สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือกระทั่งการยอมไปดีลกับพรรคการเมืองที่มีจุดยืนการเมืองคนละขั้ว อย่างชาติพัฒนากล้า จนเกิดกระแส #มีกรณ์ไม่มีกู จนพรรคต้องออกแถลงการณ์ล้มดีล การหาสนามบินลงอันนั้นก็ว่ากันไป แต่ที่ต้องถามคือ ความคิดแรกที่ไปดีลสะท้อนอะไร กระสันอำนาจรัฐใช่หรือไม่

เวลานี้ดูเกมแล้ว เสียงโหวตที่ต้องการ 70 – 80 เสียงจะได้เป็นกอบเป็นกำ ก็หนีไปพ้นต้องไปกราบกรานของคะแนน ส.ว. ซึ่งก้าวไกลด่าว่า เป็น “ปรสิต”มาตลอด

เท่าที่ดู วิธีการดีลกับ ส.ว. แกนนำก้าวไกลก็ใช้กลยุทธ์เดิมปั่นกระแส ด่าไปขอคะแนนไป ดึงใครมาได้ ก็ดันหน้าให้ออกมา Call out  ใครไม่มาก็ชี้เป้าบ้านเลขที่ ญาติมิตร เหมือนจะให้กองเชียร์ไปถล่ม อันนี้เข้าข่ายคุกคามแต่ด้อมกับติ่ง ทำเป็นมองไม่เห็น เพียงเพราะอยากไปให้ถึงเป้าหมาย วิธีการอย่างไรช่างมัน ค่อยไปใช้วาทกรรมสวยหรูอธิบายกันอีกที อันนี้ ทักษิณ ก็เคยพูดไว้ End justify Means

ถึงที่สุด เสียงโหวต ของ ส.ว. จะรวบรวมได้สมใจปรารถนา หรือไม่อันนี้ก็ต้องรอดูเพราะเวลายังมีอีกเป็นเดือน

สิ่งที่น่ากังวลคือ การยึดประชาธิปไตยตามใจฉัน อาจเป็นเงื่อนไขพาประเทศถอยหลังเข้าคลองอีกวาระ

ฉากทัศน์ที่ สมมติว่า ก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็เป็นสิทธิของพรรคอันดับ 2 และพรรคอื่นๆ เช่น

– เพื่อไทย จัดตั้งได้แล้วถีบก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ก็เป็นไปได้แม้จะพยายามปั่นกระแสว่า ตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็เป็นฝ่ายค้านร่วมกัน

– อาจเป็นภูมิใจไทย จับมือ พรรคร่วมรัฐบาลเดิมหาเพิ่มเติมอีกกับพรรคที่อ้างว่าตัวเองอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ถีบก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน

ฉากทัศน์แบบนี้ หวังว่า ก้าวไกลซึ่งแน่นอนกลายเป็นพรรคตกสวรรค์ จะไม่ชวนคนลงถนน ป่วนบ้านป่วนเมือง เพราะเท่ากับว่า กวักมือเรียกทหารเข้ามารัฐประหาร

บ้านเมืองเดินมาไกลโขแล้ว  เขียนตีกันไว้แบบนี้ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์จารึกว่า ประชาธิปไตยไทยต้องมาตายในกำมือพรรคก้าวไกล

อานนท์ กลิ่นแก้ว ( ประธาน ศปปส.)

ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน