หมอวรงค์สรุปไทม์ไลน์ชัดๆคดีทักษิณอยากเป็นปธน.? เฉลยคำตอบทำไมพท.แก้ม.112

1888

จากที่วันนี้ 02 พฤศจิกายน 2564 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อกรณีพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการแก้มาตรา 112 โดยย้อนไปถึงคดีของทักษิณ ชินวัตรด้วย

สำหรับข้อความทีเนื้อหาทั้งหมดระบุว่า #พรรคเพื่อไทยกับมาตรา112 และ116 ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย ต่อกรณีมาตรา 112 และ มาตรา 116 ช่วงนี้ ทำให้นึกถึงคดีสำคัญคดีหนึ่ง ที่นายทักษิณฟ้องหมิ่นประมาทลุงกำนันสุเทพ  ซึ่งศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2552

“คดีนี้ นายทักษิณ เป็นโจทก์ฟ้อง ลุงกำนันสุเทพ ข้อหาหมิ่นประมาทที่ศาลอาญา สืบเนื่องจากลุงกำนันได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า นายทักษิณ ชินวัตร คิดจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี และยังได้กล่าวอภิปรายในสภาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า “ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบระบอบประธานาธิบดีในจิตใจส่วนลึกของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยากเป็นประธานาธิบดี”

เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และเชื่อมโยงเหตุผล ของพรรคเพื่อไทยที่กระทำในวันนี้ ผมจะขอสรุปคำพิพากษามาให้อ่านสั้นๆ ในส่วนตัวโจทก์เองก็ได้แสดงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์ คือ

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2548 โจทก์ได้พูดกับกลุ่มบุคคลที่หอประชุมอินดอร์สเตดียมหัวหมาก ด้วยข้อความไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 โจทก์ได้พูดในรายการนายกทักษิณ คุยกับประชาชน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เรื่องการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของโจทก์ โดยใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 โจทก์ได้พูดต่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ว่ามีผู้บารมีเหนือรัฐธรรมนูญมาก่อความวุ่นวายต่อระบอบประชาธิปไตยมากเกินไป

จนทำให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การกระทำของโจทก์ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยว่าโจทก์ไม่ปกป้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

นอกจากนี้ ร้อยตำรวจโท เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ก็ได้อภิปรายยอมรับต่อที่ประชุมสภา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า “พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย มีความเชื่อมโยงกันเป็นเนื้อเดียวกัน

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2552 มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงหลายครั้งและมีการตั้งโต๊ะเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญาข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

จากพฤติกรรมของโจทก์เป็นผลให้ พล.ต.อ.วิสิษฐ เดชกุญชร เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ว่าโจทก์หลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์

นอกจากนี้ การที่จำเลยพูดให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2552 ว่า โจทก์คิดจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี นั้นสืบเนื่องจากกรณีที่ โจทก์ได้พูดคุยกับผู้ร่วมสัมมนาว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นเสือหิวเสือโหย

ดังนั้น ตามที่จำเลยวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของโจทก์ แล้วสรุปว่าวันหนึ่งโจทก์จะกลับมาเป็นประธานาธิบดี จึงน่าเชื่อว่าจำเลยกล่าวไปโดยมีเจตนาว่ากล่าวตักเตือนโจทก์และคนเสื้อแดงมิให้กระทำการล่วงละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์

จากสถานะของจำเลยจึงอยู่ในฐานะและมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะแสดงความคิดเห็นหรือข้อความนั้นได้ การกระทำของจำเลยซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต จึงไม่มีมูลความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

เมื่ออ่านคดีนี้แล้ว น่าจะพอคาดเดา อะไรบางสิ่งบางอย่างได้เกี่ยวกับทิศทางของพรรคเพื่อไทยว่า ทำไมจึงขับเคลื่อนเรื่อง มาตรา112 และมาตรา 116”

อย่างไรก็ตามขณะเดียวกันพรรคไทยภักดีก็ได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีการแก้ไขมาตรา 112 ด้วยว่า ท่าทีของพรรคไทยภักดี ต่อแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย

พรรคไทยภักดี ตระหนักว่าในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกคุกคาม และด้อยค่าอย่างหนักจากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี โดยมีการเคลื่อนไหวกระทำความผิดกฎหมายอย่างเป็นขบวนการเพื่อละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยการใส่ร้ายป้ายสี ใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ มีพฤติกรรมแสดงออกถึงความอาฆาตมาดร้าย เช่น  การเผาพระบรมฉายาลักษณ์ในที่สาธารณะ การพ่นสีตามท้องถนน การชูถือป้ายถ้อยคำหยาบคายหมิ่นสถาบันฯ  เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสายตาคนไทยทั้งประเทศ พฤติกรรมดังกล่าว ไม่ใช่ข้อเสนอแนะทางวิชาการโดยสุจริตแต่อย่างใด แต่กลับมีเป้าประสงค์ที่จะล้มล้างสถาบันฯ ถือว่าเป็นภัยความมั่นคงร้ายแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยใดในประเทศไทยมาก่อน

เมื่อกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีเหล่านี้กระทำความผิดและถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย กลับออกมารณรงค์ต่อต้าน และยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ มาตรา 116 ตลอดจนผลักดันให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้ง ๆ ที่ตนเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเหล่านี้อย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก นับว่าเป็นพฤติกรรมที่ย้อนแย้ง และกระทำไปเพื่อให้สามารถนำมาใช้ยกอ้างให้ตนพ้นจากความผิดที่ได้กระทำไปแล้ว นับว่าเป็นการกระทำที่ขาดความชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง

กลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีเหล่านี้ยังเคลื่อนไหวด้วยความรุนแรงใช้อาวุธ วัตถุระเบิด เพื่อต้องการให้เกิดการบาดเจ็บ และสูญเสียชีวิต เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดม ก่อการปฏิวัติมุ่งหมายล้มล้างระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

การที่พรรคเพื่อไทยแถลงถึงปัญหาการใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 รวมถึงกล่าวอ้างว่า การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวนั้นสร้างผลกระทบให้ประชาชนเสียหายจากกระบวนการยุติธรรมและพร้อมจะนำเข้าสู่วาระการประชุมของรัฐสภาเพื่อตรวจสอบระบบการทำงานของบุคคลในกระบวน       การยุติธรรม และสร้างวาทะกรรม “นักโทษทางความคิด” นั้น  ได้แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีจุดยืนทางการเมืองเช่นเดียวกันกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวที่ต้องการเป็นปฏิปักษ์และล้มล้างระบอบการเมืองการปกครอง  ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่ ?

นอกจากนี้แถลงการณ์ดังกล่าว  เป็นการยุยงส่งเสริมชักจูงทางอ้อมให้ประชาชนเกิดความคลางแคลงใจในสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรม และอาจจะมีส่วนในการยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนไม่สนับสนุนหลักนิติธรรม และหลักนิติรัฐอีกด้วย แถลงการณ์ดังกล่าวจึงหาใช่การวิพากษ์ วิจารณ์โดยสุจริตไม่   ซึ่งจะสร้างความแตกแยกในสังคมไทยให้รุนแรงมากขึ้น และอาจนำไปสู่การนองเลือดระหว่างคนไทยด้วยกันได้

พรรคไทยภักดีต้องคัดค้าน ต่อต้าน ท่าทีและแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้พรรคไทยภักดี   ขอแสดงจุดยืน  อันหนักแน่นในการสนับสนุนการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  และมาตรา 116 อย่างเคร่งครัดตามกระบวนการยุติธรรม  เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ยึดถือหลักนิติธรรม และนิติรัฐอย่างแท้จริง

#พรรคไทยภักดี #ไทยภักดีทางออกประเทศไทย