หลังจากเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2564 ได้มีการรวมตัวทำกิจกรรมที่แยกราชประสงค์ และมีมวลชนมาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำคณะราษฎร ได้อ่านแถลงการณ์ยกเลิกมาตรา 112 หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจำลอง เพื่อเรียกร้องตุลากรกับรัฐสภา ให้สิทธิประกันตัวและปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมือง พร้อมกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา และยกเลิก ม.112
ดังนั้นคณะราษฎรจึงผนึกกำลังกันเพื่อรวบรวมรายชื่อเสนอกฎหมายและการประกันตัวของนักโทษทางการเมือง จากนั้นนางสาวปนัสยา ได้กรีดแขนตัวเองเป็นตัวเลข 112 เพื่อย้ำว่าเป็นแถลงการณ์ที่เขียนด้วยเลือดและชีวิต พร้อมย้ำว่าเป็น แถลงการณ์เลือด ก่อนจะจบการชุมนุมในช่วงเวลา 21.00 น. ทำให้ในโลกโซเชียล มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของรุ้ง ว่าไม่สมกับเป็นปัญญาชน คนรุ่นใหม่ แม้กลุ่มม็อบด้วยกันจะขอคาราวะ และชื่นชมในความกล้าของรุ้ง แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองว่า พฤติกรรมไม่เหมาะสม อาจจะทำให้กลุ่มเด็ก ๆ เลียนแบบทำตาม สงสารผู้ปกครอง หากลูกหลานเข้ามาร่วมม็อบและมีความคิดผิด ๆ
ทั้งนี้ม็อบได้ทิ้งขยะเกลื่อนทั่วบริเวณแยกราชประสงค์ และยังมีการเปิดเผยโพสต์ของกลุ่มทะลุแก๊สที่มารวมตัว ว่าอยากจะเปิดเกมปะทะ โดยในทวิตเตอร์ของเจ๊จุก คลองสาม ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า “กลุ่มอีข้าวหอมทะลุแก๊ส แจ้งทางเฟซว่า อยากจะทำอะไรให้ทำก่อน 4 ทุ่ม เพราะห่วงความปลอดภัยของสวะทะลุแก๊ส ใบหน้ากำลังคิด เอาเลยค่ะเจ๊รอดูอยู่ โยนเข้าไปหน้าเวทีเลย ปิงปองสักลูก พวกที่บอกว่าแค่ประทัด แค่พลุ จะได้รู้ว่ามันอันตรายยังไง ขำจนลงไปนอนกลิ้ง อย่าหาใส่ร้าย จนท. หรือมือที่ 3 ล่ะ ”
โดยมวลชนฝั่งทะลุแก๊ส ได้โพสต์ว่า อย่ารอถึงสี่ทุ่ม อย่ารอให้งานจบ ให้เปิดเกมก่อน เพื่อความปลอดภัยของน้อง ๆ แต่ก็มีคอมเม้นต์จากกลุ่มม็อบด้วยกัน เข้ามาห้ามว่า ขอล่ะ อย่าเพิ่งเปิดปะทะ เพราะในงานมีเด็กเล็ก มีคนแก่ และคนพิการด้วย รอให้งานมันจบก่อนไม่ได้หรอ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรึงกำลังเข้มรอบบริเวณ ทำให้ไม่เกิดเหตุป่วน และสามารถควบคุมสถานการณ์การชุมนุมได้ ทั้งนี้กลุ่มแนวร่วมราษฎร และกลุ่มทะลุแก๊ส ยังไม่ได้ประกาศจะชุมนุมต่อ รวมทั้งการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อยกเลิกม.112 มีคนลงทะเบียนไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ 10,000 คน และฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้มวลชนต้องเก็บของแยกย้ายกลับบ้านตามเวลาเดิม