พ่อค้าสมุทรสาคร ขึ้นศาลบุรีรัมย์หมิ่น “ศักดิ์สยาม” คลัสเตอร์โควิด! กองทุน3นิ้วควักค่าปรับให้5พัน!
จากกรณีที่วันนี้ (19 ตุลาคม 2564) ทางเพจ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ดพสต์ข้อความถึงกรณีที่พ่อค้าสมุทรสาคร ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และต้องเดินทางมายังศาลจังหวัดบุรีรัมย์ในนัดไกล่เกลี่ย โดยระบุข้อความว่า
นายชาคริต เพ็งปาน พ่อค้าตลาดนัด เดินทางจากอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาครมายังศาลจังหวัดบุรีรัมย์ในนัดไกล่เกลี่ยคู่ความ คดีที่ชาคริตถูกพนักงานอัยการฟ้องฐาน ดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 293 โดยมีทิวา การกระสัง ผู้รับมอบอำนาจจาก ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้กล่าวหา เหตุจากชาคริตไปแสดงความเห็นในโพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่โพสต์ภาพและข้อความเชื่อมโยงศักดิ์สยามกับสถานบันเทิงที่เป็นคลัสเตอร์ของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงเดือนเมษายน 2564
ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายน 2564 ชาคริตตัดสินใจรับสารภาพเพราะไม่ต้องการเสียเวลาและเสียทุนทรัพย์ในการต่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ให้นัดไกล่เกลี่ยคู่ความก่อนในเดือนกรกฎาคม 2564 แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดทั่วประเทศส่งผลให้ศาลเลื่อนการพิจารณามาเป็นนัดนี้แทน
ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 9 มีเพียงจำเลยและทนายจำเลยมาศาล พ.ต.ท.อัครพงษ์ วรรณพงษ์ ทนายเครือข่ายของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยื่นคำแถลงประกอบคำรับสารภาพระบุว่า การกระทำของชาคริต เกิดจากการเข้าใจผิดไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนจึงได้โพสต์แสดงความเห็นในเฟซบุ๊กของบุคคลอื่น อันอาจทำให้เกิดความเสียหาย ไม่ได้เกิดจากเจตนาที่จะกล่าวร้ายให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด ซึ่งภายหลังจากที่ได้ทราบความจริงแล้ว จึงได้รีบลบข้อความดังกล่าวออกทันที
จำเลยเป็นเพียงพ่อค้าเร่ขายของตามตลาดนัด เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 มีคลัสเตอร์ของการแพร่ระบาดทั่วประเทศ ทำให้การค้าขายฝืดเคือง ผู้คนไม่กล้าไปเดินซื้อของตามตลาดนัด ทำให้รายได้ของจำเลยน้อยลงแทบจะไม่มีกิน หาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ จึงเกิดความเครียดมาตลอด โดยได้แต่คาดหวังว่าเมื่อไหร่โรคร้ายจะหมดไป เมื่อพบเห็นมีคนนำรูปภาพและข้อความดังกล่าวมาโพสต์ลงในเฟซบุ๊กจึงได้คอมเมนท์ข้อความดังกล่าว แต่แท้จริงแล้วไม่ได้มีเจตนาทำให้เกิดความเสียหาย อีกทั้งหลังจากกระทำความผิดก็ไม่เคยที่จะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นลงในเฟซบุ๊กของบุคคลในอีกเลย และก่อนหน้านี้ไม่เคยทำผิดหรือถูกฟ้องในคดีอาญาอื่นมาก่อน
นอกจากนี้จำเลยมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูแม่ในวัย 65 ปี ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจต้องผ่าตัดใส่บอลลูนในเส้นเลือด ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอจึงจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ทำการงานหนักไม่ค่อยได้ อีกทั้งต้องเลี้ยงดูลูกชายที่ขณะนี้เรียนอยู่ชั้น ป.3 ส่วนภรรยาได้หย่าร้างกันไป จึงขอให้ศาลลงโทษสถานเบา จากนั้นผู้พิพากษา ออกพิจารณาคดี โดยหลังจากอ่านคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของชาคริต ได้มีคำพิพากษาลงโทษปรับเป็นเงิน 5,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือปรับ 2,500 บาท โดยใช้เงินจากกองทุนราษฎรประสงค์ในการชำระค่าปรับต่อศาล
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการที่ศาล ชาคริตกล่าวถึงความยากลำบากในการเดินทางมาต่อสู้คดีว่า เขาออกเดินทางจากอำเภอกระทุ่มแบนด้วยรถตู้รับจ้างในเวลา 15.00 น. ถึงตัวเมืองบุรีรัมย์ในช่วงเวลา 02.00 น. ทำให้ต้องเสียทั้งค่าเดินทางและค่าที่พัก 1 คืน อีกทั้งเสียเวลาในการทำงานไปสองวันเต็มๆ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดอยู่ด้วย
นายชาคริตเป็นชาวอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ปัจจุบันอายุ 45 ปี เรียนจบชั้น ม.6 จาก กศน. โดยส่งเสียตัวเองเรียนจากการรับเขียนลายชามเบญจรงค์ หลังจากนั้นเขาทำค้าขายปลาสวยงาม ก่อนออกมาทำงานในโรงงานเครื่องเสียงแห่งหนึ่งที่อำเภอกระทุ่มแบน ภายหลังลาออกเพราะทำงานไม่ไหวเนื่องจากประสบอุบัติเหตุจากการขับรถจักรยานยนต์ทำให้ขาสองข้างยาวไม่เท่ากัน และอีกข้างต้องใส่เหล็กดามไว้ตลอด ชาคริตจึงหันเหมาขายของตามตลาดนัดประเภทโมเดลของเล่น และเมื่อว่างจากขายของหากมีใครจ้างให้เดินสายไฟ ชาคริตก็จะไปทำงานช่างด้วย
ระหว่างที่ตลาดนัดในสมุทรสาครถูกสั่งปิดเพราะสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด เขาต้องย้ายของไปขายที่บ้าน ซึ่งขายแทบไม่ได้ จนต้องตัดสินใจลดราคาสินค้าที่มีอยู่เพื่อให้ขายออกไปได้ซึ่งเป็นราคาขายที่ขาดทุน และพยายามขายของกินเช่นน้ำอัดลมแบ่งใส่แก้วขายมีรายได้ 200-300 บาท บางวันได้น้อยกว่านั้น
ชาคริตไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินไว้ใช้ในการต่อสู้คดีนี้สักเท่าไหร่ ก่อนมาศาลมีเงินติดตัวอยู่เพียง 9,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งบ้าน ตัวเขามีแม่ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ และลูกวัย 8 ขวบ หากไม่สามารถเบิกค่าเดินทางจากกองทุนในนามของความสงบเรียบร้อย และค่าปรับจากกองทุนราษฎรประสงค์ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเหลือเงินติดตัวกลับบ้านไปเท่าไหร่ และหากโทษปรับมากกว่านี้ก็คงไม่สามารถหาเงินมาชำระได้
ชาคริตแต่งงานและมีลูกชายหนึ่งคน ก่อนเลิกราหย่าร้างกันไปเมื่อปีที่แล้ว ปัจจุบันชาคริตเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว มีภาระที่ต้องส่งเสียค่าเทอมและเลี้ยงดูลูกที่ขณะนี้เรียนอยู่ชั้น ป.3 และต้องเรียนออนไลน์ ซึ่งการมาศาลครั้งนี้ชาคริตต้องฝากลูกไว้กับน้องสาว โดยบอกลูกเพียงว่ามาทำงานแล้วจะรีบกลับ เพราะลูกต้องใช้โทรศัพท์ของตนที่มีอยู่เครื่องเดียวในบ้านในการเรียนออนไลน์
“ตอนนี้คงเตรียมกลับไปขายโมเดลของเล่นที่ตลาดอีก ผมต้องขอบคุณกองทุนราษฎรประสงค์มากๆ ที่ช่วยในการเสียค่าปรับ ทำให้มีทุนในการต่อเติมชีวิตและครอบครัวไปได้อีก ครั้งนี้ผมได้รับบทเรียนจากความใจร้อน แต่ผมค้าขายลำบากจริงๆ เลยคอมเมนท์ไป”
สำหรับเหตุในคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 หลังชาคริตเข้าพบพนักงานสอบสวนเขาถูกแจ้งพฤติการณ์ว่า
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พบว่า บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ ‘ราษฎรเป็ดเหลือง’ โพสต์เผยแพร่ภาพถ่ายชายไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดภายในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง พร้อมนำภาพถ่ายของศักดิ์สยามมาโพสต์ในลักษณะเปรียบเทียบใบหน้า เพื่อให้คนที่พบเห็นเชื่อว่าเป็นบุคคลเดียวกัน และลงข้อความในลักษณะชี้นำว่า “ใครหว่าหน้าคุ้นๆ แต่คงไม่ใช่ที่เป็ดคิดหรอกนะก้าบๆ”
ต่อมา ผู้ต้องหาที่ใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า ชาคริต เพ็งปาน ได้แสดงความคิดเห็นที่โพสต์ดังกล่าวว่า “พวกบ้า…” ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า ศักดิ์สยาม ซึ่งอยู่ใน ครม. เป็นคนหมกมุ่นทางเพศ ทำให้ศักดิ์สยามได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ได้รับความอับอาย พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า การโพสต์ข้อความดังกล่าวข้างต้นของชาคริตเป็นความผิดฐาน ดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ซึ่งชาคริตให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ก่อนที่ศาลจะพิพากษาเป็นโทษปรับ