สถานการณ์การประท้วง ความวุ่นวายและโกลาหลจนวิกฤตได้เกิดขึ้นที่ “เกาะฮ่องกง”กินเวลายาวนาน นับปี ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2562-กันยายน 2563 เป็น “โมเดล” ที่สังคมโลกและสังคมไทยเฝ้าติดตามอย่างไม่วางตาว่าจะสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับฮ่องกงจากการปกครองแบบ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ของ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ไปในทิศทางใด และในที่สุด แม้จุดมุ่งหมายแยกประเทศไม่สำเร็จเต็มขั้น แต่ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความบาดหมางในความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนฮ่องกงด้วยกันเองและระหว่างคนฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ อีกทั้งได้ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวงแก่ฮ่องกงท่ามกลางการระบาดไวรัสโควิด-19 ยังไม่จบ
ไทมไลน์จุดไฟในนาคร-สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่เป็น
-ตัวละครเด่น โจชัว หว่องและพวก ที่ฝ่ายนิยมประชาธิปไตยแบบสหรัฐ ถือเป็นไอดอล แต่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเขามองว่า เขาคือเชื้อร้ายทำลายความสงบสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาชาติจีน ส่วนฝั่งอำนาจรัฐ จีนมองเขาคือหุ่นเชิดของมหาอำนาจ สหรัฐและพวก ฝั่งอำนาจรัฐของสหรัฐ อาจมองเขาเป็นกลไกสำคัญทีจะบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ชาติ แบ่งแยกและปกครอง? ขัดขวางดุลกำลังมหาอำนาจใหม่ที่ท้าทายอำนาจครอบโลกของตน
นายโจชัว หว่อง ถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมผิดกฎหมาย และได้รับการประกันตัวหลายครั้ง เข้าออกคุกมาแล้วหลายครั้ง นับตั้งแต่เป็นแกนนำจัดการประท้วงต่อต้านคณะผู้บริหารฮ่องกงและรัฐบาลปักกิ่ง เมื่อปี 2557 โดยรับโทษจำคุกครั้งแรกประมาณครึ่งปี เมื่อปี 2560 ร่วมกับนายนาธาน เหลา และน.ส.แอกเนส จ้าว ส่วนการรับโทษจำคุกครั้งที่ 2 นานประมาณ 2 เดือน เมื่อช่วงกลางปี 2562
-เบื้องหลังขบวนการปฏิวัติเปลี่ยนระบอบประเทศของฮ่องกง อาจไม่มีใบเสร็จหลักฐานว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่คำพูด พฤติกรรม ภาพความเกี่ยวข้องถึงความสัมพันธ์ระหว่างทีมหัวหอกต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่กับบุคคลากรระดับสูงของสหรัฐ บ่งบอกความหมายที่เข้าใจได้ และในช่วงกลางประท้วง สหรัฐยอมรับสนับสนุนม็อบอย่างเปิดเผยเพราะไม่คาดคิดว่าแผนการใหญ่นี้จะล้มเหลว จีนไม่ได้ทำตามที่สหรัฐหวัง ไม่ใช่ความรุนแรงแก้ปัญหาแต่ใช้กฎหมายมาแก้ปัญหา สร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจรัฐจีนมาเกี่ยวข้องได้อย่างเปิดเผย ทั้งหมดนี้สหรัฐยังไม่ถือว่าตนเองแพ้ แค่เพลี่ยงพล้ำ ฉะนั้น เรื่องของ”ฮ่องกง” จะยังไม่จบลงอย่างง่ายๆ อาจเดินไปพร้อมกับ ไฟกองใหม่ที่กำลังจุดอยู่ในประเทศไทย และไต้หวัน ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้ ท่ามกลางความยากลำบากการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่จ่อจมูกอยู่
(ดู**ลำดับการประท้วงของฮ่องกง กุมภาพันธ์ 2562- กันยายน 2563**ตอนท้ายบทความ)
ขัดแย้งสหรัฐ-จีนยังไม่จบแต่ฮ่องกงทรุดยาว
-ชาวฮ่องกงที่เข้าร่วมการประท้วง และละเมิดกฎหมายการชุมนุม และคดีอาชญากรรมอื่นๆ ถูกจับกุม จำนวน 9,113 คน ถูกตั้งข้อหา 1,749 คน (10-15 มิ.ย.2563)
-แกนนำการประท้วงถูกดำเนินคดีตามกฎหมายฮ่องกง บางส่วนพยายามหนีแต่ถูกจับและล่าสุดโจชัว หว่องถูกจับและได้รับการประกันตัว และต้องเดินขึ้นศาลไปตลอดที่ยังดำรงชีวิตอยู่ในฮ่องกงต่อไป
-นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ออกโรงเตือนว่า ฮ่องกง เมืองศูนย์กลางทางการเงินและการค้า อาจต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ยาวนาน และหยั่งลงลึกกว่าในช่วงวิกฤตการเงินโลกในปี 2551-2552 หรือในช่วงการแพร่ระบาดของโรคซาร์สในปี 2546อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
–อัตราการว่างงานในฮ่องกงเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.2% จำนวน 3,720,000 รายในเดือนม.ค.-มี.ค.2563 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี
ทำไมต้อง’ฮ่องกง’?
เพราะฮ่องกงดำรงสถานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับโลก ทั้งการเงินการธนาคาร การขนส่งสินค้าและโดยเฉพาะ “ตลาดหุ้นหั่งเส็ง” หรือตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงที่มีขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก รวมทั้งแรงกดดันจาก “ธุรกิจจากต่างประเทศ” ที่ลงหลักปักฐานในฮ่องกงมาอย่างยาวนานเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจการเงินที่สำคัญของจีน และที่สำคัญตลอดการประท้วง รัฐบาลสหรัฐฯได้ประกาศจุดยืนชัดเจนถึงการสนับสนุนม็อบฮ่องกงอย่างออกนอกหน้า สภาคองเกรซสหรัฐฯคลอดกฎหมาย วุฒิสภาคลอดกฏหมายคว่ำบาตรธนาคารทำธุรกรรมกับจีน ฯลฯ จนในที่สุดกระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการระบุว่า “จีนขอให้สหรัฐฯ หยุดการแทรกแซงทุกอย่างต่อกิจการของฮ่องกงในทันที และยุติการกระทำที่จะส่งผลกระทบต่อความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของฮ่องกง” นั่นหมายถึงการเปิดหน้าชกกันแบบไม่แคร์โลกของสหรัฐต่อคู่ขัดแย้งของตนอย่างจีน เพื่อหวังให้คู่ขัดแย้งอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ขัดขวางการพัฒนายุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางไม่ให้บรรลุเป้าหมายอย่างถึงที่สุด
“สงครามปฏิวัติสีเสื้อ”ไทยยังคงคุกรุ่นอย่างไม่เสื่อมคลายแต่ซับซ้อนขึ้น
ฮ่องกงโมเดลได้แผ่อิทธิพลความคิดมายังประเทศไทยอย่างชัดเจน มีการประสานหนุนช่วยระหว่างผู้นำม็อบฮ่องกงกับแกนนำม็อบไทยผ่านทางสื่อหลักของมหาอำนาจ ทางออนไลน์ และโซเชียลมีเดียอย่างโจ่งแจ้ง
พรรคอนาคตใหม่-ที่แปลงร่างเป็นสองหัว หนึ่งพรรคก้าวไกล สองกลุ่มก้าวหน้า แต่ทั้งสองหน่วยนี้นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจชัดเจน เพราะเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศ ไฟแนนเชียลไทม์เมื่อ 16 ส.ค.2563 ยืนยันว่าเป็นผู้สนับสนุน แนวทางในการขับเคลื่อนทางการเมืองของพรรคใต้ปีกธนาธรฯ ก็เดินไปในแนว “ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ” เพื่อให้ต่างชาติกดดันรัฐบาลที่พวกเขามองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย หรือสืบทอดอำนาจ คสช. ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่ “โจชัว หว่อง” แกนนำคนสำคัญของม็อบฮ่องกงดอดไปพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯ รวมทั้งมีการกล่าวหาว่า ผู้ประท้วงบางคนรับเงินจากองค์กรต่างชาติ ส่วนของไทยชู “เพนกวิ้น-รุ้ง-ไมค์-อานนท์” แกนนำม็อบปลดแอกที่นับวันได้เผยธาตุแท้และเป้าหมายสูงสุดให้ประชาชนไทยได้เห็นว่า มุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและสถาบันสูงสุด ผ่านกลยุทธ์ขับไล่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและแก้รัฐธรรม ขณะสหรัฐอเมริกาขยับบทบาทไปยังพื้นที่ยุทธศาสตร์ภาคเหนือที่เชียงใหม่อย่างมีนัยยะสำคัญ
**ลำดับเหตุการณ์ประท้วงฮ่องกง ปี 2562-2563**
-กุมภาพันธ์ 2562 สำนักความมั่นคงฮ่องกง เสนอแก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นรายกรณีไปยังประเทศอื่น รวมถึงจีน
-มีนาคม-พฤษภาคม 2562 การประท้วงก่อหวอดขยาย ตัวเริ่มจากการชุมนุมประท้วงต่อต้าน “กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน” เป็นประเด็นจุดกระแส
-มิถุนายน 2562 ต่อมาเป็นการเรียกร้องให้ แคร์รี ลัม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกงลาออก
จากนั้นการประท้วงได้ขยายวงกว้าง ไปถึงการท้าทายอำนาจของรัฐบาลจีน โดยมีการปิดกั้นเส้นทางคมนาคมทั้งถนน อุโมงค์ และรถไฟใต้ดิน และการล้อมสถานีตำรวจและสถานที่ราชการ รวมถึงการท้าทายรัฐบาลจีนด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ และเรียกร้องการปกครองแบบประชาธิปไตยเต็มใบ
-กรกฎาคม 2563 ชาวฮ่องกงบางคนใช้สเปรย์สีดำพ่นทับตราสัญลักษณ์ของฮ่องกง แล้วชูธงชาติสหราชอาณาจักรหรือธงอังกฤษเหนือตราดังกล่าวในการชุมนุมเมื่อวันที่ 1 ก.ค.
-สิงหาคม 2562 ประชาชนที่อยู่คนละฝ่าย ได้ก้าวข้ามขีดความอดทน ด้วยการเลือกใช้ความรุนแรงทำร้ายกันเอง เหตุการณ์ที่ “นอร์ธพ้อยท์” ซึ่งกลุ่มชายฉกรรจ์ ใช้ไม้พลองยาวไล่ตีผู้ประท้วงกลางถนนขณะเดินผ่านจุดดังกล่าว จนกลายเป็นการยกกลุ่มทำร้ายกันเต็มรูปแบบ ทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้นจนเกินกว่าควบคุม
“กลุ่มชายเสื้อขาว” ที่ควงกระบอง แห่ไปที่สถานีรถไฟหยวนหลง (Yuen Long) กรูเข้าไปในขบวนรถไฟ ใช้ท่อเหล็ก ท่อนไม้ และวัตถุอื่นๆ หวดตีกลุ่มผู้โดยสาร จนมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ การสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่ากลุ่มม็อบเสื้อขาว ซึ่งบางคนโบกธงชาติจีนและป้าย เขียนว่า “พิทักษ์หยวนหล่าง ปกป้องแผ่นดินของเรา” เป็นกลุ่มคนที่มีความเกี่ยวโยงกับแก๊งมาเฟีย 14K และ แก๊งเหอเซิ่งเหอ (Wo Shing Wo) ซึ่งไม่ชัดเจนว่าใครเป็น “มาสเตอร์ไมด์”อยู่เบื้องหลัง แต่หลายฝ่ายเชื่อว่ากลุ่มอันธพาลนี้เชื่อมโยงนักการเมืองและนักธุรกิจชั้นนำในฮ่องกง
-สิงหาคม-กันยายน 2562 ม็อบโบกธงสหรัฐและร้องเพลงชาติอเมริกาอย่างเปิดเผย แสดงจุดยืนขอเป็นประชาชนของอังกฤษและสหรัฐ ปฏิเสธว่าคนฮ่องกงไม่ใช่คนจีน
-ตุลาคม-ธันวาคม 2562 ม็อบประท้วงใช้วิธีดาวกระจาย “แฟล็ชม็อบ” ในจุดต่างๆของฮ่องกงเกิดความรุนแรงระหว่างชาวบ้านและผู้ประท้วงเป็นระยะ
– ข้ามปีต่อมา2563 รัฐบาลสี จิ้น ผิงส่งสัญญาณเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมว่า “ผู้ที่เล่นกับไฟย่อมทำลายตัวเอง” พร้อมระบุด้วยว่ามี “กองกำลังต่อต้านจีน” เป็น “ผู้บงการอยู่เบื้องหลัง” กลุ่มผู้ประท้วง และคณะผู้บริหารฮ่องกงก็ให้ความเห็นสอดคล้องกัน มีการเผยแพร่ข่าวการจับกุมสปายสายลับกลางฮ่องกง
-พฤษภาคม-มิถุนายน 2563 ประท้วงรอบใหม่(21 พ.ค.)เกิดขึ้นเมื่อทางการจีนประกาศว่าจะผ่านกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่มาบังคับใช้ในฮ่องกง
-กันยายน 2563 (24 ก.ย.) นายโจชัว หว่อง ถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมผิดกฎหมาย และได้รับการประกันตัว