หลังจากที่มีนายแพทย์ใหญ่ ในโรงพยาบาลแถวหน้าของเมืองไทย ต่างออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กรุงเทพฯ ใกล้ถึงจุดวิกฤตเต็มที เตียงไม่พอรองรับคนไข้ เพราะยอดติดเชื้อไม่มีแนวโน้มจะลดลง ท่ามกลางกระแสที่ต้องรอลุ้นคำสั่งจากศบค. ว่าจะมีการล็อกดาวน์กทม.หรือไม่นั้น
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และผู้ดูแลรพ.สนามพลังแผ่นดิน ที่ใช้รองรับผู้ป่วยโควิด-19 นั้น ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็น ในสถานการณ์นี้ พร้อมปลุกใจให้แพทย์ พยาบาล สู้ไปด้วยกัน
โดยระบุว่า “ได้โปรดทราบทั่วกันว่า สถานการณ์สาธารณภัยจากโรคระบาดหากจะต้องเลวร้ายไปกว่านี้ ก็ยังไม่ถึงกับสิ้นหวังหรอกครับ ยังมีหนทางปฏิบัติอีกหลายอย่างที่ยังทำได้ดีกว่าที่จะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ยังมีหนทางปฏิบัติถึงแม้จะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ก็ตาม
ก่อนอื่นผมต้องขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่าต้องเลิกชุดความคิดว่า “คนไม่พอ” …”ทำไม่ไหว ทำไม่ได้” ผมถูกฝึกมาว่า “หิวก็ต้องไม่หิว เหนื่อยก็ต้องไม่เหนื่อย ไม่ไหวก็จะต้องไหว”
หากยังคิดแต่ว่า “คนไม่พอ”…”ทำไม่ไหว ทำไม่ได้” แล้วเราจะยอมที่จะเผชิญสถานการณ์ผู้ป่วยเจ็บจำนวนมากรอวันตายต่อหน้าให้มันเป็นไปตามยถากรรมกระนั้นหรือ? …ทำไมเราไม่คิดใหม่ด้วยชุดความคิดว่าในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ว่า “เราจะทำอย่างไรให้ดีที่สุด ถึงแม้คนไม่พอ”ล่ะครับ…แล้วเราก็จะคิดออก ผมคิดอย่างนี้มาตลอด ผมเป็นนักสู้ผู้ไม่เคยยอมแพ้ หากเราไม่ยอมแพ้แล้ว เราก็จะไม่มีวันแพ้ สงครามจะแพ้ก็อยู่ที่ผู้นำ ผู้นำไม่ยอมแพ้ สงครามนั้นก็จะไม่มีวันแพ้ครับ…ผมเป็นคนเช่นนี้แหละ
ผมอยากจะเรียนว่าวัฒนธรรมการปฏิบัติราชการไทยมันเป็นอุปสรรคต่อการเผชิญสาธารณภัยมาก ข้าราชการไทยและพนักงานราชการจากส่วนราชการต่าง ๆ ยังไม่ประสานกลมกลืนกัน ยังใช้ความรู้สึกแบ่งแยกจากสังกัดของการเป็นส่วนราชการที่ต่างหน่วยงานกัน …วัฒนธรรมเช่นนี้ คือ อุปสรรคยิ่งกว่าปัญหา “คนไม่พอ” นะครับ
สถานการณ์ในขณะนี้ ข้าราชการและพนักงานราชการจะต้องสำนึกให้ได้และต้องคิดให้ออกเสียก่อนว่า นี่คือ บริบทสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ อย่ามัวแต่ยึดติดกฎระเบียบ มาตรฐาน สารพัด และในทำนองเดียวกันคนในชาติที่ไม่ใช่ข้าราชการก็จะต้องสามัคคีกลมเกลียวกันพร้อมใจร่วมมือกัน ไม่ใช่เอาแต่ตำหนิให้ร้ายขัดขวางกัน…วันนี้ท่านทั้งหลายจะต้องมองตรงไปข้างหน้า แล้วสำนึกให้ได้ว่า…นี่คือสงครามของท่าน
ผมเป็นทหารเก่า ลาออกจากราชการทหารนานกว่า 14 ปีแล้ว ผมระลึกเสมอว่าวันใดก็ตามที่ชาติต้องการ…ผมจะกลับมา… I shall return.
ผมเคยพูดเสมอว่าผมจะร่วมรับใช้ชาติกับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนด้วยข้อความเดียวกันต่อธงชัยเฉลิมพลอันเป็นองค์ผู้แทนจอมทัพ พระประมุขแห่งรัฐ …ผมเคยพูดว่า “พี่ว่าไง ผมเอาด้วย” ผมก็ร่วมคิด ร่วมทำ อย่างสุดกำลังตามคำพูด
สถานการณ์วันนี้ ผมถือว่าเป็นสงครามเพื่อมวลมนุษยโลก…ณ แผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และเป็นจอมทัพไทยนั้น คนอย่างผมไม่เคยตายไปจากความจงรักภักดี ไม่เคยตระบัดสัตย์ปฏิญาณตนที่เสมือนคำสาบานต่อพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อวันนี้สาธารณภัยจากโรคระบาดกำลังคุกคามชีวิตของพสกนิกรจำนวนมากของพระเจ้าแผ่นดิน ผมถือว่าสาธารณภัยคุกคามชีวิตพสกนิกรนี้ คือ สงครามของผมเพื่อรักษาชีวิตพสกนิกรภายใต้ร่มพระบารมีของพระเจ้าแผ่นดิน
ผมมโนเอาเองว่าผมน่าจะมีประโยชน์ต่อชาติและประชาชนบ้าง…วันนี้ คือ วันที่ชาติต้องการให้คนไทยทั้งชาติร่วมมือ ร่วมใจกัน ผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ถึงแม้จะหกสิบแล้ว แต่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดว่าชาติต้องการ…ผมขออาสารับใช้ชาติและประชาชนภายใต้ร่มพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์เจ้า…ผมจึงกลับมา