จับตา ประธานาธิบดีสิงคโปร์ประกาศยุบสภา ลีฯกระชับอำนาจ เลื่อนเลือกตั้งเร็วขึ้น วัดความนิยมรัฐบาลท่ามกลางการเปิดประเทศเฟส 2

2329

นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงของสิงคโปร์ เข้าพบประธานาธิบดีฮาลิมา ยาคอบ (Halimah Yacob) และชี้แจงว่าเป็นผู้แนะนำท่านประธานาธิบดีให้ยุบสภา ประกาศจัดการเลือกตั้ง ระบุการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้จะไม่เหมือนที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงแค่การจัดการพิเศษเพราะโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่มีสถานการณ์และประเด็นต่าง ๆ เป็นเดิมพัน รัฐบาลชุดใหม่จะได้ตัดสินใจบริหารงานได้อย่างไม่มีความลังเล เขามีเวลาจนถึงเดือนเมษายนปีหน้าที่จะจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ได้ตัดสินใจร่นให้เร็วขึ้น เพราะไม่รู้ว่าโควิด-19 จะสิ้นสุดเมื่อใด เผยวันสมัครรับเลือกตั้ง 30 มิย. และเลือกตั้งวันที่ 30 กรกฏาคม ศกนี้ ทั่วโลกจับตาศึกภายใน ที่เผยตัวเป็นระยะมาก่อนหน้านี้ ใครจะกุมบังเหียนสิงคโปร์ อีกไม่นานจะได้รู้ผลในที่สุด

คณะกรรมการการเลือกตั้งแถลงในเวลาต่อมาว่า วันสมัครรับเลือกตั้งจะเป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ส่วนวันเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 หลายฝ่ายกำลังจับจ้องว่า พรรคกิจประชาชนหรือพีเอพี (PAP:The People’s Action Party ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล จะสามารถกวาดคะแนนได้มากถึงร้อยละ 69.9 เหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อนเมื่อปี 2558 หรือไม่ ครั้งนั้นพรรคได้คะแนนท่วมท้นเพราะนายลี กวนยู บิดาของนายกรัฐมนตรีลี และผู้ก่อตั้งประเทศเพิ่งถึงแก่อสัญกรรมได้เพียง 6 เดือน ด้านพรรคแรงงานซึ่งเป็นฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวที่มีที่นั่งในสภาจะหาทางปกป้องเก้าอี้ที่มีอยู่เพียง 6 ที่นั่ง จากทั้งหมด 93 ที่นั่ง ได้หรือไม่ เวทีการเมืองโลกให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง

ขณะที่นายลี เซียน หยาง น้องชายของนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ผู้นำสิงคโปร์ เปิดเผยกับสื่อหลายแห่ง ว่าเขาได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคพีเอสพี (พรรคสิงคโปร์ก้าวหน้า: The Progress Singapore Party )ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาแห่งชาติ ในนามตัวแทนผู้สมัครของพรรคพีเอสพีด้วยหรือไม่

ไม่นานมานี้ พี่น้องตระกูลลีมีปัญหาขัดแย้งภายในครอบครัวอย่างเปิดเผย โดยนายลี เซียน หยาง และนางลี เหวย หลิง วัย 65 ปี มีปากเสียงกับนายลี เซียน ลุง วัย 68 ปี โดยอ้างว่า พี่ชายคนโตไม่ยอมรื้อบ้านพักของนายลี กวน ยู บิดาผู้ก่อตั้งประเทศตามพินัยกรรม เพื่อหวังใช้ประโยชน์ส่วนตัว

………………………………………..
Cr: thestraitstimes, cnbcnews