ซัดกันมันส์หยด!! ชำแหละเบื้องหลัง “เรืองไกร” เชือด “ยุทธพงศ์” จากคนเคยสนิท กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต แฉปมเดือด “นาฬิกาเพื่อน”
ถือว่ากำลังดุเดือด และน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องระหว่าง “นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย อดีต ส.ว. และ “นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่เรียกได้ว่าเป็นศึกสายเลือด ที่กำลังผลัดกันจับผิดจับถูก จนกลายเป็นประเด็นการเมืองที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก
โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความบาดหมางนั้น ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 ก.ค.63 มาจากการที่ ทางด้านของ นายเรืองไกร ได้ทำหนังสือถึง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เรื่องขอให้ชี้แจงเบื้องหลังการสลับชื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อดิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564
โดยทางด้านของ นายเรืองไกร ขณะนั้นอยู่ในฐานะอดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ก็ยังวนเวียนช่วยงานภายในพรรคเพื่อไทย ซึ่งทางพรรคเพื่อไทย ก็ได้ส่งชื่อนายเรืองไกร เป็นกรรมาธิการร่าง พรบ. งบประมาณ 2563 และก็ต่อเนื่องมาถึง ปี64 จนกระทั่งได้ถูกสลับชื่อออก จาก 1 ใน 15 คน
ซึ่งทางด้านของ นายเรืองไกร ก็ได้ทำการแฉถึงการที่ถูกสลับชื่ออกจากการเป็น คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อดิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณ ว่ามาจาก คุณภ. (คาดว่าเป็น นายภูมิธรรม เวชยชัย) อยู่เบื้องหลังในการถอดถอนที่ของตน จึงอยากให้มีการชี้แจงความจริง
หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง จนกระทั่งในวันที่ 23 ก.ค.63 นายเรืองไกร ได้ร้อง ปปช. ให้ทำการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ ส.ส. พรรคเพื่อไทย 2 คน คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งยื่นบัญชีบ้านและที่ดินไม่สอดคล้องกัน และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ยื่นบัญชีทรัพย์สินอื่นของคู่สมรส ไว้ไม่สอดคล้องกัน ประกอบกับพบข้อมูลของ ส.ส. ทั้ง 2 คน ที่มีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับบัญชีบ้านและที่ดิน กับบัญชีทรัพย์สินอื่น
ซึ่งหลังจากนั้นในวันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ ได้เปิดแถลงข่าว โดยพูดถึงกรณีที่ทางด้านของ นายเรืองไกร ได้ยื่นร้องต่อ ปปช. เพื่อขอตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน โดยได้ทำการชี้แจงว่า ครอบครัวภรรยาของตน เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะเป็นหุ้นส่วนอันดับสองของบริษัทไทยเบฟเวอร์เรจ การที่ภรรยาตนมีฐานะมาตั้งแต่ดั้งเดิม จนกระทั่งมาแต่งงานในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมาตั้งแต่ดังเดิม ดังนั้น จึงมั่นใจในความบริสุทธิ์ และพร้อมที่จะให้นายเรืองไกรตรวจสอบ
ซึ่งทางด้านของ นายยุทธพงศ์ ยังได้ปิดท้ายด้วยการตอกกลับ ที่เรียกได้ว่าหักหน้าทางด้านของ นายเรืองไกร อย่างรุนแรง ถึงต้นเหตุที่ นายเรืองไกร ตั้งใจเอาผิดตน ว่าเกิดมากจากการที่ นายเรืองไกร ถูกขับออกจากการเป็น กมธ. ในสัดส่วนของพรรคพท. โดยได้เปิดเผยว่า
“ผมขอเรียกร้องให้นายเรืองไกรได้มีจิตสำนึก และมีมารยาททางการเมือง ได้คิดถึงจริยธรรม และคุณธรรมบ้าง เพราะในเมื่อแค่สมาชิกพรรคพท.คุณยังไม่ได้เป็น แล้วจะมาเป็น กมธ. ในสัดส่วนของพรรคพท. มันจะเป็นไปได้อย่างไร ผมจึงขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจ และพร้อมให้มีการตรวจสอบ ทั้งมองว่า เรื่องนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองเพื่อให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง”
ต่อมาในวันที่ 18 ก.ย.63 ทางด้านของ นายเรืองไกร ได้ทำการยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เพื่อขอสำเนารายชื่อกรรมาธิการงบประมาณฯ 2564 จำนวน 15 คน ที่พรรคเพื่อไทยลงนามเสนอ ซึ่งจะเปรียบเทียบได้ว่ามีการสลับชื่อตนโดยชอบหรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อได้สำเนาหนังสือที่ขอจากนายชวนแล้วจะนำไปประกอบการยื่นเรื่องให้ ป.ป ช. และ กกต.
หลังจากนั้นเรื่องทุกอย่างก็เหมือนจะเงียบลง เนื่องจากไม่มีการนำเสนอความคืบหน้าต่างๆ จนกระทั่งต่อมา ในวันที่ 18 ม.ค.64 ทางด้านของ นายเรืองไกร ได้ออกมาจี้ตรวจสอบ นายยุทธพงศ์ อีกครั้งหลังจาก เมื่อวันที่ 17 ม.ค.64 ทางด้านของ นายยุทธพงศ์ ได้แถลงข่าวเรื่องงบเรือดำน้ำไป และพบว่าใส่นาฬิกาค่อนข้างหรู ในช่วงการแถลงข่าว
ซึ่งทางด้านของ นายเรืองไกร ได้เปิดเผยว่า เมื่อคราวที่ นายยุทธพงศ์ รับตำแหน่ง ในวันที่ 25 พ.ค.62 ไม่มีการยื่นบัญชีนาฬิกาไว้ในส่วนของนายยุทธพงศ์แต่อย่างใด จึงเป็นมูลเหตุให้ทำการร้อง ป.ป.ช. โดยขอให้ตรวจสอบว่า นาฬิกาดังกล่าวได้มาเมื่อใด อย่างไร โดยวิธีใด
ซึ่งหากได้มาก่อนเป็น ส.ส. มีการยื่นไว้โดยครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ หากได้มาหลังเป็น ส.ส. นาฬิกาดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นนาฬิกายี่ห้ออะไร รุ่นใด ราคาเท่าไร ซื้อหามาเองหรือไม่ ซื้อจากที่ใด มีใบเสร็จหรือไม่ จ่ายเงินจากบัญชีใด และการได้มาชอบตาม พรป.ป.ป.ช. หรือไม่
ต่อมาทางด้านของ นายยุทธพงศ์ ก็ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อในกรณีดังกล่าวว่า นาฬิกาที่ใส่ ไม่ใช่นาฬิกาหรู แต่เป็นนาฬิกาที่ใช้งานทั่วไป เป็นนาฬิกา ยี่ห้อ IWC ใช้งานมาแล้ว ประมาณ 15 ปี ราคาปัจจุบัน ประมาณ 10,000 บาท อีกทั้งยังได้เปิดเผยว่า ถ้าเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าไม่เกิน 200,000 บาท ก็ไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ต่อ ป.ป.ช.
โดยทางด้านของ นายยุทธพงศ์ ยังได้ทำการทิ้งท้ายไว้อีกด้วยว่า ในวันที่ 19 ม.ค. 64 เวลา 11.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย จะนำนาฬิกา เรือนดังกล่าว ไปแถลงข่าวโชว์ความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งพร้อม และยินดีให้ คณะกรรมการ ปปช. ตรวจสอบ อีกทั้งยังได้ฝากถึงทางด้านของ นายเรืองไกร เข้ามาบริสุทธิ์ และอย่าทำให้ตนเองเสียชื่อเสียง โดยยังได้เปิดเผยด้วยว่า นายยุทธพงศ์ มีเรื่องส่วนตัวกับ นายเรืองไกร
ทั้งนี้ในวันที่ 19 ม.ค.64 นายเรืองไกร ก็ได้ไปที่พรรคเพื่อไทย ตามวันเวลาที่นัดหมาย แต่กลับไม่เจอ นายยุทธพงศ์ เนื่องจากว่าไม่ได้มาตามที่ได้นัดหมายไว้ โดยทางด้านของ นายเรืองไกร ยังได้เปิดเผยอีกด้วยว่า ที่นายยุทธพงศ์แถลงนั้น อาจคลาดเคลื่อนต่อเจตนารมณ์ของการยื่นบัญชีทรัพย์สินอื่น พร้อมกับได้นำการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ตัวอย่างของคนทั้ง 2 คน มาแสดงให้ดูอีกด้วยคือ
1. นายชวน หลีกภัย ยื่นบัญชีทรัพย์สินอื่น เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2562 โดยใช้มูลค่าของทรัพย์สินทุกชนิดรวมกันในการยื่น ซึ่งมีนาฬิกาข้อมือ 19 เรือน มูลค่า 500,000 บาท รวมอยู่ด้วย
2. นายชูศักดิ์ ศิรินิล ยื่นบัญชีทรัพย์สินอื่น เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2551 ก็ใช้มูลค่าของทรัพย์สินทุกชนิดรวมกันในการยื่นบัญชี ซึ่งมีนาฬิกาข้อมือ 1 เรือน มูลค่า 50,000 บาท รวมยื่นด้วย
พร้อมทั้งจี้ไปที่ ป.ป.ช. ควรที่จะต้องดำเนินการต่อไปอีกด้วย