“อัษฎางค์” ซัดคนรุ่นใหม่หัวร้อนไล่พม่ากลับปท. เผยไทยก็เคยลำบากแต่มีสถาบันฯ ช่วยไว้

3448

จากกรณีที่ ก่อนหน้านี้ได้มีการชี้แจง เชื้อโควิด-19ที่แพร่ระบาดในรอบใหม่ มีต้นตอมาจากชาวเมียนมา ที่ทำงานในแพกุ้ง จ.สมุทรสาคร ซึ่งน่าจะไม่ใช่แรงงานที่อยู่ไทยมาแต่เดิม

เนื่องจากก่อนหน้านี้ยอดผู้ติดเชื้อในไทยเป็นศูนย์มาตลอด จนน่าจะไม่เหลือวงจรเชื้อแล้ว จึงมีการคาดเดากันว่าเแรงงานเมียนมาที่เป็นต้นเชื้อในครั้งนี้ น่าจะเป็นแรงงานที่เพิ่งลักลอบเข้ามาในประเทศ ซึ่งอาจมาพร้อมกับเชื้อโควิด-19 ด้วย

หลังจากนั้นได้มีการเปิดเผยเพิ่มเติมว่า มีขบวนการลักลอบขนชาวเมียนมาเข้าเมืองอย่างไม่ถูกกฎหมาย โดยมีค่าหัวคนละ 10,000 บาทเป็นอย่างน้อย ถือว่าคุ้มค่ามากเนื่องจากอาจจะต้องผ่านหลายด่านสกัด

ต่อมามีกระแสสังคมรังเกียจแรงงานเมียนมาและแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย พร้อมตั้งคำถามถึงขบวนการลักลอบขนแรงานต่างด้าวเข้าประเทศว่าภาครัฐจะมีการจัดการกับปัญหานี้อย่างไร

ล่าสุด นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก

“ปัญหาแรงงานพม่ากับการแพร่ระบาดของโควิด”
เมื่อวานตั้งวงนั่งคุยกันในสภากาแฟในซิดนีย์ถึงเรื่องโควิทที่ระบาดรอบใหม่ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากกลุ่มผู้ใช้แรงงานชาวพม่า ได้สาระมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อไปอีกแนวทางหนึ่ง
ซี่งผมและเพื่อนที่อยู่ในซิดนีย์ที่เริ่มต้นอยู่ที่ซิดนีย์ในฐานะนักเรียนต่างชาติ ซึ่งกฎหมายอนุญาติให้ทำงานพาร์ไทม์ได้ จึงมีโอกาสสัมผัสประสบการณ์กับการทำงานร่วมกับแรงงานต่างด้าว

ทำให้เรามีแนวความคิดมาเสนอ ว่า…
1) จับแรงงานพม่า รวมทั้งแรงงานต่างชาติที่ผิดกฎหมายทั้งหมดมาจดทะเบียนให้ถูกต้อง
ถึงแม้รัฐบาลจะออกใบอนุญาตให้แรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในเมืองไทยอย่างถูกกฎหมาย แต่ด้วยกฎเกณฑ์บางอย่าง ทำให้เกิดช่องว่างให้เจ้าหน้าที่หรือข้าราชการใช้เป็นช่องทางหาเงินใสกระเป๋าตัวเอง
สังเกตุมั้ยว่าระบบราชการของไทยเรามักเปิดช่องให้ข้าราชการกระทำการคอรัปชั่น แทนที่จะยกเรื่องที่ผิดกฎหมายที่กระทำการใต้ดิน ขึ้นมาบนดิน คือทำให้มันถูกกฎหมาย
หลายเรื่องราวที่เรารู้กันอยู่เต็มอกว่า มีการทำอะไรใต้ดิน ใต้โต๊ะ แต่ระบบราชการของเรากลับทำไม่รู้ไม่ชี้ปล่อยให้เกิดขบวนใต้ดิน และขบวนการใต้ดินนั้นก็เอาผลประโยชน์ต่างๆ อันควรเป็นของรัฐ ไปเป็นของตน เช่นเรื่อง เงินๆ ทองๆ ซึ่งควรเป็นรายได้ของรัฐ กลับไปเป็นรายได้ของตน
ซึ่งเมื่อมีการหาเงินผิดกฎหมาย ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือ การสร้างกลุ่มผู้มีอิทธิพลหรือมาเฟียขึ้นมาในสังคม
จริงๆ เรื่องนี้แก้ไขไม่ยาก ถ้ารัฐบาลและข้าราชการรวมใจและจริงใจที่จะจัดการกับปัญหา ด้วยการจับสิ่งผิดกฎหมายใต้ดิน ให้ขึ้นมาอยู่บนดิน

2) บางคนหัวร้อน เสนอว่า ไล่พม่ากลับบ้าน ซึ่งผมไม่เห็นด้วย และเชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ หรือแม้กระทั่งประชาชนที่จ้างชาวพม่าทำงานบ้าน ก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
เราต้องหัดยอมรับความจริง
ความจริงที่ว่า มีงานหลายประเภทที่คนไทยไม่ยอมทำงานแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงต้องการแรงงานต่างชาติที่พร้อมจะทำงานเหล่านั้น
เมื่อสัก 10 ปีก่อนตามร้านกาแฟคอฟฟี่ช็อปหรือภัตราคารร้านอาหารในออสเตรเลีย จะมีชาวต่างชาติทั้งที่เป็นนักเรียนต่างชาติและแรงงานที่ผิดกฎหมายทำงานในครัว โดยเจ้าของร้านชาวออสซี่จะไม่ยอมให้คนต่างชาติมาทำงานหน้าร้าน
แต่ปัจจุบันงานสาย Hospitality และงานอีกหลายสาขา โดนแรงงานชาวต่างชาติยึดไปหมดแล้ว ไม่ว่าไปที่ไหนจะเห็นฝรั่งออสซี่แท้ๆ ทำงานน้อยมาก
ซึ่งจากการที่มีแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในออสเตรเลียจำนวนมากมายนั้น ก็มีส่ิงที่รัฐบาลออสเตรเลียได้รับกลับมาคือ
• มีแรงงานทำงานในสายงานที่คนออสซี่ไม่ยอมทำ
• รัฐบาลได้เงินจากค่าเอกสาร ค่าดำเนินการเพื่อของวีซ่าทำงาน
• รัฐบาลบังคับให้แรงงานต่างชาติทุกคนต้องซื้อประกันสุขภาพ
• รัฐบาลเก็บภาษีจากแรงงานต่างชาติ
แรงงานต่างชาติได้รับเงินเดือนเท่ากับคนในชาติ และจ่ายภาษีเต็มๆ แต่ได้รับผลประโยชน์กลับไปน้อยกว่าคนในชาติ เพราะเขาถือว่าเข้ามาหาประโยชน์ในประเทศของเขา
เอาแค่เงินค่าทำวีซ่า จ่ายภาษี ก็นำกลับมาใช้เป็นงบประมาณพัฒนาประเทศได้มหาศาลแล้ว ยังไม่รวมเงินประกันสุขภาพ ก็ทำให้บริษัทเอกชนมีลูกค้าเพิ่ม และมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไปในตัว
นอกจากนี้การที่แรงงานต่างชาติเหล่านั้นมาใช้ชีวิตในประเทศ ก็หมายความว่า นอกจากเจ้าของกิจการชาวออสซี่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แรงงานต่างชาติเหล่านั้น ในขณะเดียวกันก็เกิดผลประโยชน์หมุนเวียนกลับมา นั้นคือ เกิดการใช้จ่ายของแรงงานต่างชาติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยในกระตุ้นเศรษฐกิน ทำให้เศรษฐกิจมีการเคลื่อนไหว
ลองคำนวณกันดูเล่นๆ สมมติมีแรงงานต่างชาติ 1 ล้านคน เราเก็บค่าวีซ่าทำงานคนละ 1 พันบาท เงินพันล้านบาทก็เข้าคลัง ถ้าเก็บ 1 หมื่นบาท เงินหมื่นล้านบาทก็เข้ามาสู่งบประมาณแผ่นดิน
แล้วแรงงานต่างชาติต้องซื้อประกันจากบริษัทเอกชน สมมติว่า 1 พันบาท บริษัทเอกชนก็มีเงินพันล้านบาทเข้ามาหมุนเวียน ถ้าเก็บ 1 หมื่นบาท เงินหมื่นล้านบาทก็เข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจของชาติ
แต่เงินมากมายมหาศาลนั้นเข้าสู้ระบบครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งก็ตกลงไปอยู่ใต้โต๊ะ เข้ากระเป๋าผู้มีอิทธิพล

3) เรื่องสำคัญที่สุดอีกอย่างคือ นอกจากเรามีแรงงานต่างชาติขึ้นทะเบียนถูกกฎหมาย เก็บเงินค่าดำเนินการต่างๆ เข้ารัฐได้แล้ว เรายังสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของแรงงานต่างชาติเหล่านั้น ว่าอยู่จำนวนเท่าใด อยู่ตรงไหนของประเทศ อยู่ในพื่นที่แพร่ระบาดของโรคหรือไม่ จะต้องกักกันหรือไม่อย่างไร
หากพบผู้เจ็บป่วย ติดเชื้อโควิด ก็เข้ารับการรักษาจากเงินที่เขาซื้อประกันเอาไว้เอง และที่สำคัญคือ แรงงานต่างด่าวคนใดทำผิดกฎหมาย เราก็จับส่งกลับไป

การที่ทำอะไรให้ถูกกฎหมาย มีแต่ผลดี ที่เราจะได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง คือ ได้ทั้งแรงงานมาทำงานให้ และได้ทั้งเงินทองเข้าท้องพระคลัง
ไม่ใช้ออกกฎหมายเพื่อให้ข้าราชการที่ทำงานกินภาษีราษฎร แปลงกายเป็นมาเฟียใต้ดินที่คอยซูบเงินอันควรจะเป็นของรัฐ ซึ่งแปลว่าเป็นของประชาชนทั้งประเทศ ไปเข้ากระเป็นตนเองและพวกพวกพ้อง

แรงงานพม่าน่าเห็นใจมากกว่าน่ารังเกียจ ลองคิดดูกันดีๆ ว่าเขาต้องมาขายแรงงานเพราะบ้านเมืองของเขาอัตคัดขัดสน ในอดีตคนไทยก็เคยต้องออกไปขายแรงงานในต่างประเทศเหมือนกัน
นอกจากต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้ว ต้องมาทำงานขายแรงงาน ยังต้องเสียเวินค่าธรรมเนียมมากมายเพื่อให้ได้วีซ่าทำงาน
รายได้ส่วนหนึ่งเอาไว้ใช้จ่าย อีกส่วนต้องงส่งกลับมาบ้าน และอีกส่วนคือค่าขอวีซ่าทำงาน
ลองคิดๆ กันดู ว่ามันมีแต่การทำงานหนักกับรายจ่าย
เราคนไทยควรมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ที่ตกยาก

เด็กม็อบสมัยนี้ไม่เคยรู้หรอกว่าประเทศของเราก็เคยอยู่ในภาวะลำบากยากจนเช่นนี้มาก่อน เหมือนกัน
แต่เพราะในหลวงและคนรุ่นพ่อรุ่นแม่นี่แหละที่ช่วยกันทำงานพัฒนาประเทศจนเราผ่านจุดความยากจนนั้นมานานแล้ว
และเรากลายเป็นที่พักพิงของประเทศเพื่อนบ้านได้แล้ว
ให้ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยการทำอะไรให้ถูกกฎหมาย ซึ่งมันส่งผลให้ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
อย่าปล่อยให้ขบวนการใต้ดิน กินเงินใต้โต๊ะ เป็นฝ่ายเก็บผลประโยชน์เหล่านั้น ที่ควรเป็นของรัฐเป็นของเรา ใส่กระเป๋าตนเอง
แล้วพอเกิดปัญหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็คือรัฐบาลกับคนไทยทั้งประเทศ
ส่วนมาเฟียที่รับเงินใต้โต๊ะลอยนอลไปพร้อมกับเงินจำนวนมหาศาล
หยุดคอรัปชั่นเพื่อเราและเขา และทุกคน

อัษฎางค์ ยมนาค”